คัมภีร์เปลี่ยนชีวิต สะกดจิต ผลิตเงินล้าน รวมสูตรลับความสำเร็จ กฎแรงดึงดูด [Law of Attraction] พิสูจน์สิ่งมหัศจรรย์ด้วยตัวคุณเอง #ภาพยนตร์สารคดีวิทยาศาสตร์ " I Am : Tom Shadyac "
คัมภีร์เปลี่ยนชีวิต สะกดจิต ผลิตเงินล้าน รวมสูตรลับความสำเร็จ กฎแรงดึงดูด [Law of Attraction] พิสูจน์สิ่งมหัศจรรย์นี้ด้วยตัวคุณเอง
เปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยวิธีดึงพลังเทพในตัวเองออกมาใช้ตามหลักการที่ถูกรับรองผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังไปทั่วโลกขณะนี้ สูตรลับนี้สร้างผู้คนเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยมาทั่วโลกแล้ว
สูตรลับวิธีเชื่อมต่อพลังจิตใต้สำนึกซึ่งเป็นพลังงานอันวิเศษและเป็นขุนทรัพย์ในตัวคุณสามารถเนรมิตความสำเร็จ ความร่ำรวย โชคลาภ เงินทอง ความรัก และสมหวังในสิ่งต่างๆ ที่คุณปรารถนาได้
เรียนรู้แก่นแท้เจาะลึกศาสตร์แห่งความร่ำรวย (The Science of Getting Rich) หลักกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ผลลัพธ์สร้างผู้สำเร็จมาแล้ว
รวมสูตรลับวิธีการสะกดจิตตัวเองสร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ด้วยกฎ 21 วัน ตลอดทั้งเรียนรู้เจาะลึกหัวใจสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต จากกฎแห่งชีวิต กฎของโลก และกฎแห่งพลังจักรวาล และสูตรลับเทคนิควิธีออกแบบสร้างชีวิตใหม่ ทุกคนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์
คัมภีร์นี้แก้ไขปัญหาจากต้นเหตุ ทำไมคนจึงแตกต่างกัน รวย จน และยุคโควิด-19 บางคนโชคดีมีงานทำ แต่ทำไมบางคนกลับโชคร้ายตกงาน เพราะไม่รู้กฎธรรมชาติของโลกใบนี้ กฎสัจธรรมและกฎแรงดึงดูด ซึ่งเป็นกฎแห่งจักรวาลกำหนดไว้
เทคนิควิธีผลิตเงินล้านในยุคเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้จริงและสูตรลับผลิตเงินล้าน ยุคดิจิทัล Passive income รวมเทคนิคและวิธีการผลิตเงินที่มาแรงสามารถสร้างรายได้อย่างรวดเร็วระยะสั้นง่ายๆ ให้เป็นแนวทาง 4 วิธีสร้างรายได้ ทวีคณู ยุคทองออนไลน์
1. เคล็ดลับวิธีทำออนไลน์ยุคนี้ & โซเซียลมิเดีย
2. วิธีสร้างพลัง เครือข่าย
3. สูตรลับ สร้าง e-book ให้ได้เดือนละล้าน
4. วิธีสร้างรายได้ผ่านแอบ ,เว็บไซต์ต่าง
คนส่วนใหญ่ 99% ไม่รู้ถึงสิ่งมหัศจรรย์จากพลังภายในตัวเราเอง ซึ่งเป็นขุนทรัพย์พลังมหาศาลสร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิต สร้างความสำเร็จให้กับเรา นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพลังงานแห่งจักรวาล พลังงานภายในตัวเรา ซึ่ง E-book เล่มนี้ จะเปิดเผยความลับพลังงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ทั้งหมด ให้เราตื่นรู้
บทความนี้ ผู้เขียนจะนำเพื่อนๆ ตามลอยนักวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกันคะ
มหัศจรรย์พลังแห่งจิตใต้สำนึกกับพลังควอนตัมสร้างความสำเร็จให้กับชีวิต
พลังแห่งจิตใต้สำนึก มีบทบาทหน้าที่ คือ :
จิตใต้สำนึกเป็นพลังงานอนุภาคและคลื่นความถี่อาศัยอยู่ในมิติที่สูงขึ้นเรียกว่า
เป็นพื้นที่ที่เป็นสุญญากาศสมบูรณ์แบบและเดินทางไปได้ในทุกๆ มิติ นั้น คือ
มันอยู่ในตัวเราและแทรกซึมไปทุกๆ หนแห่ง และในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เรียกอีกนัยหนึ่ง
จิตใต้สำนึก คือ
กลุ่มพลังงานและคลื่นความถี่และเป็นสติปัญญาอันไร้ขอบเขตของเรานั้นเอง
และเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของทุกคน
จิตใต้สำนึกของเรามันเริ่มต้นจากพลังความคิด
และส่งต่อระบบประสาทสัมผัสทั้งห้าและเข้าสู่จิตสำนึกของเรา
พลังความคิดของเรามันจะถูกจัดกลุ่มและบันทึกไว้
ซึ่งจิตใต้สำนึกเป็นผู้รับและเก็บข้อมูลไว้
โดยจิตใต้สำนึกเราจะเก็บเป็นอารมณ์ความรู้สึกของเราต่างๆ และไม่มีการคัดเลือกมันทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืนมันมีพลังมหาศาลช่วยให้ความฝันกลายเป็นจริงทำงานแบบตรงไปตรงมาและเห็นผลลัพธ์
เราไม่สามารถควบคุมจิตใต้สำนึกของตัวเองได้
แต่เราสร้างกำหนดเป้าหมายและแผนการชีวิตที่ชัดเจนเป็นแรงปรารถนาให้เปลี่ยนเป็นรูปธรรมจริงได้โดยทำสิ่งนั้น
ซ้ำๆ บ่อยๆ
จิตใต้สำนึกเป็นพลังดึงดูด
ในด้านวิทยาศาสตร์
จากข้อมูลการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ คือ :
ในปี ค.ศ.1999 “อมาจี ฮีเลียร์” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางจิตใต้สำนึกและสมอง
เขาค้นพบและได้นำเสนอผลวิจัยว่า
ความเกี่ยวข้องกับการสื่อสารทางโทรจิตสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนเรานั้นเกิดจากการส่งโทรจิตหรือกระแสจิต
คือ ส่งคลื่นพลังความคิด
ความต้องการของเราอย่างแรงกล้าออกไปเชื่อมต่อโยงกับผู้อื่นด้วยพลังที่เกิดจากการระเหยของความชื้นในร่างกายที่เรียกว่า
“อิเทอริค” พลังงานนี้แพร่กระจายไปในท้องฟ้าจักรวาล แต่การทำงานของจิตใต้สำนึกยังมีพลังมากมายซับซ้อน
เป็นพลังที่เกิดจากพลังของตัวเองสามารถเดินไปมาไม่จำกัดสถานที่และเวลา ด้วยความเร็วจะคาดหยั่งและมันเชื่อมโยงกับสมองเราตลอดเวลา
จิตใต้สำนึกยังเป็นแหล่งพลังงานที่ควบคุมการทำงานของระบบอวัยวะทุก ๆ
ส่วนของร่างกายให้ดำเนินไปเป็นปกติ
“แดน วิเทอร์” เป็นนักวิจัยผู้ค้นหลักฐานที่ว่า วัตถุสิ่งต่างๆ
และทุกกิจกรรมทุกชนิดมีการปล่อยคลื่นพลังกระแสไฟฟ้าออกมาในระดับความถี่ต่างๆ โดยหากวัดกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยจากคนกอดกัน อาหาร
เสื้อผ้าและจากภายในตัวคน โดยเราสามารถวัดได้จากอารมณ์รักทางเพศ อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เราสามาถวัดได้เป็นกระแสคลื่นพลังงานไฟฟ้า ฉะนั้น
มันเป็นพลังงานและความจริงทุกๆ สิ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต
ล้วนมีการปล่อยคลื่นกระแสพลังงาน
และเราทุกคนดึงดูดขับคลื่นกระแสพลังไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา คุณสามารถทดลองง่ายๆ
นำมือคุณมาถูกไปมาจะมีความร้อนหรือนำฝามือประกบกันและค่อยๆ
แยกกันทำไปมาหลายๆครั้งหรือคุณสามารถพิสูจน์ด้วยการใช้เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าไปพิสูจน์กับวัตถุสิ่งของใดๆ
ก็ได้ รวมถึงตัวคุณเองจะมีพลังไฟฟ้า คุณจะรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อต
มีไฟฟ้าอยู่ในวัตถุทุกชนิด แต่จะมีปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุนั้น
หรือคุณจะทดลองง่ายๆ
เอามือคุณไปจับประตูขณะมือคุณแห้งและอากาศเย็นไฟฟ้าในตัวคุณกับไฟฟ้าในวัตถุเหลานั้นเกิดการสันดาปกันจะรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อต
นอกจากนี้ “วินเทอร์” ยังค้นพบโดยยืนยันว่า ทุกๆ สิ่งในจักรวาลแห่งนี้ มีการปล่อยความถี่ออกมาตลอดเวลา โดยรอบตัวเรามีพลังงานและคลื่นความถี่ ซึ่งพลังงานนี้มันกระจายกันอยู่เต็มไปหมดคลื่นบางชนิดสามารถแทรกซึมเข้าสู่ตัวเราได้ทันที บางชนิดต้องอาศัยการปรับความถี่ของเราให้สอดคล้องกันกับมันเสียก่อน ทุกขณะที่เราเคลื่อนไหว เราเดิน เรายืน เรานั่ง หรือนอน เราจะยังมีคลื่นความถี่ของสิ่งต่างๆ ส่งกระแสมายังตัวเราตลอดเวลา เช่น คลื่นของสัญญาวิทยุ โทรศัพท์ และโทรทัศน์ วิ่งไปมาตลอดเวลา แม้มองไม่เห็น แต่นั่นคือสิ่งที่มีอยู่จริง และรวมถึงโลกใบนี้ ที่เราอยู่กันนี้ก็ยังมีพลังไฟฟ้าและความถี่นี้มากมายเช่นเดียวกัน
นักวิทยาศาสตร์อีกท่าน
“ฮีเลียร์” ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและพลังจิตใต้สำนึก
ได้ยืนยันหลักพลังงานนี้ว่า ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ เป็นที่กักเก็บอนุภาพไฟฟ้าห่อหุ้มโลก
สูงจากพื้นที่โลกขึ้นไป 80 ไมล์ เป็นที่ดูดซับสัญญาณและกักเก็บพลังงานให้โลกใบนี้
ซึ่งนอกจากนี้ ยังมี นิโคลา
เทสล่า (Nikola Tesla) ผู้ที่รู้เรื่องนี้ดีเพราะเขาเป็นผู้สร้างเครื่องรับสัญญาเรด้าเป็นคนแรกของโลก
และเป็นคนแรกที่แท้จริงที่ประดิษฐ์วิทยุ
นอกจากนี้หลักวิทยาศาสตร์ยังอธิบายต่อไปว่า หัวใจสำคัญ ทันทีที่เราเคลื่อนไหวร่างกายจะสร้างความถี่ส่งพลังงานออกไปยังสภาพแวดล้อม
รอบๆ ตัว ในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์จะมีความถี่ประมาณราวๆ 9.5 ต่อวินาที
โดยขณะที่ความถี่ในตัวมนุษย์จะมีในร่างกายอยู่ประมาณ 6.8
ถึง 9.5
รอบต่อวินาที
กระดูกและอวัยวะภายในของเราเคลื่อนไหวเป็นจังหวะไปมาด้วยอัตราความถี่ 8 ถึง 9 รอบต่อวินาที นั่นคือ
ความถี่ในร่างกายเรากับความถี่ในชั้นบรรยากาศ ไอโอโนสเฟียร์ สั่นสะเทือนสอดคล้องตรงกัน ฉะนั้น
จะเห็นได้ว่า เรา คือ
กลุ่มพลังงานที่สั่นสะเทือนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่น โลก และสิ่งแวดล้อม
รอบๆ ตัวเรา
และดอกเตอร์ เฟรต อลัน วูฟล์ นักควอนตัมฟิสิกส์ จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียร์ ลอสแองเจลลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า “จากความก้าวหน้าทางควอนตัมฟิสิกส์ได้สนับสนุนความคิดของเพลโต นักปราชญ์ชาวกรีซโบราณ ที่เชื่อว่า วิญญาณมีจริงและไม่มีวันดับสูญ เนื่องจากเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ซึ่งวิญญาณเหล่านั้นจะไปอยู่ในสถานที่ที่เป็นความจริงแท้ ซึ่งไม่ใช่โลกทางกายภาพของมนุษย์ที่อยู่นี้ ในทางควอนตัมฟิสิกส์มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีโลกที่ไม่ใช่วัตถุหรือโลกกายภาพที่เราอยู่นี้อีกมากมายเป็นโลกแห่งความจริงเหนือมนุษย์ขึ้นไปแม้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาแสดงในเวลานี้ได้ แต่ในทางควอนตัมฟิสิกส์พลังงานและอนุภาคหรือวัตถุใดๆ เมื่อค้นคว้าลึกลงไปก็จะพบว่า มีขนาดเล็กลงๆ เรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
แนวความคิดของ "ดอกเตอร์วูฟล์" เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปและเชื่อว่าวิญญาณกับจิตใต้สำนึกเป็นสิ่งเดียวกันและมีสภาพเป็นควอนตัม
คือ เป็นอนุภาพและคลื่น หมายถึง
จิตใต้สำนึกของมนุษยน์ทุกคนสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ด้วยความเร็วเหนือแสงและสามารถเข้าถึงแหล่งสติปัญญาอันไร้ขอบเขตได้
และควอนตัมฟิสิกส์ทางวิทยาศาสตร์ ยังอธิบายว่า พระเจ้า คือ ทุกๆ สรรพสิ่ง และทุกๆ สิ่ง คือ
พระเจ้า รวมถึงยังอยู่ในตัวทุกๆ คน คือ
ความจริงแล้ว ในตัวเราทุกๆ คนมีพระเจ้า
พระคริสต์ หรือ องค์ศาสดาอยู่ในตัวทุกคนไม่มีแบ่งแยก
มาทำความรู้จักกับ “ควอนตัม”
ค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1900 ขณะที่ แมกซ์ พลังค์
กำลังทดลองเกี่ยวกับการแผ่รังสีของวัตถุเขาพบว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นมักจะเปลี่ยนสีและแผ่รังสีความร้อนออกสู่ภายนอกความร้อนดังกล่าว
ก็คือ พลังงาน รังสีแผ่ออกจากวัตถุนั้นเป็นอนุภาพเล็กๆ ที่เรียกว่า ควอนตัม โดยมีพลังงานแผ่จากอนุภาพไม่คงที่และคลื่นพลังงานที่แผ่ออกมามีลักษณะเป็นอนุภาคเล็กๆ
จึงเป็นพลังงานและคลื่นความถี่ และจากการศึกษาตัวมนุษย์เรานั้น
ทฤษฏีควอนตัมยังบอกว่า ตัวเรานั้นเป็นทั้งอนุภาพและคลื่น และโลกของอะตม ตัวเราประกอบด้วยสิ่งที่เล็กที่สุด
คือ อนุภาค คือ วัตถุแข็งๆ ที่เล็กที่สุด คือ โปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน และควาร์ก
และเรายังเป็นคลื่นในเวลาเดียวกันมีการวิ่งไปมาจับกลุ่มและเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปมาตลอดเวลา
ไม่หยุดนิ่งคงที่ เมื่อเป็นเช่นนั้น
อนุภาคทั้งหมดประกอบขึ้นเป็นร่างกายมนุษย์ก็คือ คลื่นพลังงานที่เคลื่อนไหวแผ่พลังงานอออกได้ตลอดเวลา
ควอนตัมฟิสิกส์บอกเราว่า อนุภาคโปรตอนมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก
นิวตรอนมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ และอิเล็กตรอนไม่มีประจุ สำหรับอิเล็กตรอนนั้น
เป็นทั้งคลื่นและอนุภาค
เมื่อตัวเราและสรรพสิ่งในโลกใบนี้ ประกอบขึ้นด้วย โปรตอน นิวตรอน
อิเล็กตรอน หรือควาร์ก ทั้งสามนี้และอิเล็กตรอนอยู่ในตัวเรา เช่นกัน เราจึงมีทั้งคลื่นและอนุภาค คือ เราจึงแผ่พลังงาน
และส่งคลื่นสั่นสะเทือนออกไปภายนอกได้ ขณะเดียวกันก็รับคลื่นและพลังงานจากภายนอกในตัวเราตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
และพบว่ารังสีที่แผ่ออกจากวัตถุสิ่งต่างๆ นั้นเป็นอนุภาคเล็กๆ ที่เรียกว่า ควอนตัม ฉะนั้น
ทุกสิ่งรวมถึงตัวเรานี้มีรังสีแผ่ออกจากตัวเองตลอดเวลา คือ ควอนตัม
สาระสำคัญของทฤษฏีควอนตัม
เน้นย่ำ ตัวเรานั้นเป็นทั้งอนุภาค
คลื่นและโลกของอะตอม ไม่เหมือนโลกที่เราอาศัยอยู่ หมายถึง สิ่งที่เรามองเห็นหรือคุ้นเคยอยู่ทุกวันนี้
เป็นเพียงภาพลวงตา
ในระดับควอนตัมหรือระดับอนุภาคหน่อยที่เล็กที่สุด
ทุกสิ่งเป็นพลังงานและเป็นคลื่น และไม่มีอะไรขวางกั้นพลังงานและคลื่นได้
ฉะนั้น
สสารและพลังงานเป็นสิ่งเดียวกันและที่เราเรียกว่า ควอนตัม
ก็เพราะว่าในระดับอนุภาพหรือหน่วยที่เล็กที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน หรือ ควาร์ก ล้วนเป็นสสารที่สามารถเปลี่ยนพลังงานได้และบางครั้งก็อยู่ในรูปของคลื่นความถี่ได้ด้วยและตัวเราก็เป็นเช่นนั้น
คือ เป็นกลุ่มพลังงานและมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาในระดับอะตอม
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังได้ค้นคว้าพลังงานภายในตัวเรา ในแง่แห่งการหายใจ ทุกการหายใจเข้าออกของคุณมันคือพลังงานที่คุณส่งออกและดึงเข้าภายในร่างกายของคุณ ชีวิตเราอยู่ได้ด้วยการหายใจ เมื่อไรเราหยุดการหายใจ นั้นหมายความว่า เราเสียชีวิตแล้ว คือ คุณได้ไปจากโลกใบนี้แล้ว
วิทยาศาสตร์สรุปแล้วชีวิตคนขับเคลื่อนด้วยจิตใต้สำนึก
ดร.บรูซ ลิปตัน (Dr.Bruce Lipton) ศาสตราจารย์ชีววิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านเซลล์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พูดถึงการทำงานของ จิตสำนึก (conscious mind) และ จิตใต้สำนึก (unconscious mind) โดยบอกว่า
“จิตสำนึก” คือ ส่วนที่คิดเพื่อสร้างไอเดียใหม่ออกมาจากกล่องเดิม แต่ “จิตใต้สำนึก” จะทำงานผ่านโปรแกรมที่ถูกกำหนดไว้ เหมือนซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยฐานข้อมูลพฤติกรรมที่เก็บไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกกำหนดไว้ก่อนอายุ 6 ขวบ
จิตใต้สำนึกควบคุม 95% ของกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ขณะที่จิตสำนึกควบคุมเพียง 5% เท่านั้น ซึ่งที่จริง 5% นั่นเป็นระดับของพวกคนที่ตื่นตัวในการใช้ชีวิต แต่คนส่วนใหญ่ทำงานด้วยจิตสำนึกเพียงแค่ 1% นี่คือเหตุผลที่ความคิด การตัดสินใจ อารมณ์ ความรู้สึก และการกระทำส่วนใหญ่ของชีวิตเราถูกตอบสนองตามโปรแกรมอัตโนมัติ (หรือที่เราเรียกว่า ตามสัญชาตญาณ)
ดร. ลิปตันยังกล่าวอีกว่า จิตใต้สำนึกประมวลผมข้อมูลด้วยความเร็ว 40 ล้านบิตต่อวินาที ในขณะที่จิตสำนึกประมวลผลที่ความเร็วเพียง 40 บิตต่อวินาที หมายความว่าจิตใต้สำนึกส่งผ่านข้อมูลเร็วกว่าจิตสำนึก 1 ล้านเท่า ดังนั้นจิตใต้สำนึกจึงมีพลังมากกว่าและเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตส่วนใหญ่ของเรา
การพยายามคิดแง่บวก คือ การพยายามเปลี่ยนที่จิตสำนึก ซึ่งมีพลังไม่เท่าการเปลี่ยนจิตใต้สำนึก การที่เราเปลี่ยนโปรแกรมจิตใต้สำนึกได้ เราก็เปลี่ยนสิ่งที่ทรงพลังต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิต ดร.ลิปตันได้แนะนำวิธีการโปรแกรมจิตใต้สำนึกใหม่ว่า ทำได้โดยการสงบใจและจดจ่อ
สำหรับคริสเตียน เรารู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่าน ช่วงเวลาการเฝ้าเดี่ยว การพักสงบ และนมัสการพระเจ้า เมื่อเราได้จดจ่อและพักสงบ เราก็เข้าสู่ช่วงเวลาชำระล้างจิตใจและจิตใต้สำนึกของเราใหม่ให้สะอาด เกิดกระบวนการจัดระบบระเบียบโปรแกรมอัตโนมัติที่อยู่ภายในใหม่ เราจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากภายใน จิตใจที่ดี ก็จะผลิตสิ่งที่ดีออกมา
ดร. บรูซ เอช ลิปตัน (Dr. Bruce H. Lipton) พูดเกี่ยวกับข้อค้นพบใหม่เกี่ยวกับร่างกายของคนเรา จิต การทำงานของจิต พลังของจิต และจิตบำบัด
ในคลิปเป็นภาษาอังกฤษ ลองแปลเป็นไทยออกมาคร่าว ๆ เผื่อคนที่ไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษนะคะเริ่มต้นจากการให้ข้อมูลว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังเชื่อหรือให้ความสำคัญกับเรื่องยีนหรือพันธุกรรม แต่ข้อค้นพบใหม่ให้ความสำคัญกับเซลล์ ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ถึง 50 ล้านล้านเซลล์ โดยมองว่าเซลล์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ (Living Entity) ดังนั้นตัวคุณจึงเป็นเสมือนชุมชน ๆ หนึ่ง (Community) ไม่ใช่ปัจเจกบุคคลเซลล์แต่ละเซลล์มีประจุไฟฟ้าลบอยู่ภายใน และประจุบวกอยู่ภายนอก ในแง่นี้เซลล์จึงไม่ต่างจากแบตเตอรี่ โดยมีขนาดแรงดันไฟฟ้าประมาณ 1.4 โวลต์ ดังนั้น 50 ล้านล้านเซลล์คูณด้วย 1.4 โวลต์ เท่ากับ 700 ล้านล้านโวลต์ เคลื่อนไหลอยู่ภายในร่างกายของเราขณะนี้ พลังไฟฟ้าที่ว่านี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ชี่” ซึ่งเราสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการเยียวยารักษาร่างกายได้นักฟิสิกส์สมัยใหม่ค้นพบว่าร่างกายของคนเราคือคลื่นพลังงาน (Energy waves) และมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา ทั้งสัตว์และพืชต่างก็สื่อสารกันผ่านกระแสคลื่น (Vibration) เช่นกัน กวางไม่จำเป็นต้องเดินไปหาสิงโตแล้วถามว่าเธอเป็นมิตรกับฉันหรือเปล่า เพราะว่ากวางสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสคลื่นทางลบที่สิงโตส่งออกมาแม้จากระยะไกลถ้าตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็ก ๆ ถูกสอนให้รู้จักและตระหนักถึงเรื่องนี้ เราจะไม่มีวันพาตัวเองไปสู่สัมพันธภาพหรือสถานที่แย่ ๆ เลย แต่เรากลับถูกสอนให้ฟังเสียงของคนรอบข้างมากกว่าการฟังเสียงภายใน โดยหารู้ไม่ว่าภาษาถูกออกแบบมาเพื่อปิดบังความรู้สึก (Language was designed to hide feelings) เราทุกคนเกิดมาพร้อมความสามารถที่จะรับรู้และได้ยินกระแสคลื่น (Vibration) และจะสามารถบอกตัวเองได้ว่าเรากำลังอยู่ใสถานที่ดี/ใช่/ถูกต้องหรือว่าตรงกันข้าม แต่เราไม่ได้ถูกสอนให้รู้จักใช้มันให้เป็นเวลาเรามองไปยังผู้อื่น เราก็คิดว่าแต่ละคนคือปัจเจกบุคคล แต่ความจริงคือเราต่างเป็นกระแสคลื่นพลังงานที่ปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลาต่างหาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมคน ๆ หนึ่งส่งผลสะเทือนต่ออีกคนได้ในแวดวงฟิสิกส์ควอนตัมตอนนี้ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับอนุภาค (Particle) แล้ว แต่มาศึกษาเรื่องคลื่นพลังงาน โดยดูว่าคลื่นพลังงานส่งผลกระทบอย่างไร เราเรียกพื้นที่ที่คลื่นพลังงานมารวมตัวว่าสนามพลังงาน (Field) แม้ว่าคนเราจะเกิดมาจากอะตอม แต่เราก็เป็นสนามพลังงานด้วย เราเชื่อมต่อกับสรรพสิ่งอยู่ เราไม่สามารถแยกตัวออกจากกระแสคลื่นเหล่านั้นได้ตรงนี้เองเชื่อมมายังเรื่องของความคิด มีเทคโนโลยีตัวหนึ่งเรียกว่า Magneto Encephalograph (MEG) ที่สามารถอ่านการทำงานของสมองได้แม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสกับตัวเราเลย ทำให้เห็นว่าความคิดเดินทางออกไปนอกสมองได้ สำหรับนักฟิสิกส์นี่ไม่ใช่เรื่องประหลาดมหัศจรรย์ เพราะการค้นพบที่ว่าคนเรานั้นคือคลื่นพลังงาน ซ้ำยังไปเกี่ยวเนื่องพัวพันกับคลื่นอื่น ๆ ตลอดเวลาด้วย เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องประมาณว่าเราไม่ได้เจอเพื่อนเก่าบางคนนานหลายปี จู่ ๆ ก็นึกถึงขึ้นมา แล้วเราก็ได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนนั้น สถานการณ์แบบนี้มีความคล้ายกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า The Placebo Nocebo (Placebo effect คือปรากฏการณ์ยาหลอก คือเมื่อเกิดความรู้สึกเชิงบวกต่อการรักษา ก็มีส่วนช่วยให้การรักษานั้นได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ส่วน Nocebo เป็นปรากฏการณ์ด้านลบ) เมื่อคุณคิดถึงใครสักคนอย่างจริงจัง คลื่นจะถูกส่งไปยังคนผู้นั้น การทำงานของคลื่นพลังงานเป็นการทำงานสองทาง หมายความว่า หากคุณส่งกระแสคลื่นบวกออกไป คุณก็ได้รับกระแสบวกกลับมา ในทางกลับกันหากคุณส่งกระแสลบ ก็เตรียมตัวรับกระแสลบกลับมาได้เลย ดังนั้นพึงตระหนักวไว้ว่าความคิดของคุณไม่ได้ส่งผลต่อคุณเพียงลำพัง แต่ส่งผลต่อคนที่คุณกำลังคิดหรือพูดถึงด้วยเวลาที่เราผลิตคลื่นพลังงาน เรากำลังสร้างสิ่งที่เรียกว่า Harmonic Resonance หรือ Constructive Interference ขณะที่เรากำลังส่งออกคลื่นความถี่ทางความคิด ใครล่ะที่จะตอบสนองต่อคลื่นนั้น ก็คนที่มีคลื่นความถี่ที่สอดคล้องกันนั่นเอง หากคุณกำลังอยู่ในสภาวะความหวาดกลัว คุณไม่สามารถไปเชื่อมต่อกับองค์ดาไลลามะได้หรอก สภาวะเช่นนั้นกำลังดึงดูดตัวร้ายสักตัวเข้ามาในชีวิต เวลาที่ผู้ร้ายเลือกเหยื่อ เขาจะเลือกคนที่กลัวที่สุด คลื่นของความหวาดกลัวมันส่งออกมาให้สัมผัสได้นั่นเองหากคนที่มีความคิดคล้ายกันหรือเหมือนกันมารวมตัวกัน พลังจะยิ่งทวีมหาศาล ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่กรุงนิวยอร์ก หนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 คนในนิวยอร์กออกมารวมตัวกันระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าล็อตเตอรี่ออกเลขรางวัล 911 นี่เป็นผลจากพลังของกลุ่มคนมหาศาลบันดาลความคิดให้กลายเป็นความจริงเมื่อเรามองกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง เราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตโดดเดี่ยวลำพัง เราคือชุมชนประชากรเซลล์ถึง 50 ล้านล้านเซลล์ แต่อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือคำว่า “ชุมชน” เซลล์แต่ละเซลล์มีเชาว์ปัญญา แต่เมื่อมันมารวมตัวกันเป็นชุมชน เซลล์จะปล่อยวางเชาว์ปัญญาระดับปัจเจกนั้นลงไป และให้ความสำคัญกับเสียงส่วนกลาง (Central voice) เซลล์จะรับฟังและทำตามเสียงส่วนกลาง หากส่วนกลางบอกให้ไปตาย เซลล์ก็ต้องตาย เสียงส่วนกลางที่ว่านี้ก็คือ จิต (Mind)จิตของเรามี 2 ส่วน มีธรรมชาติต่างกัน และเป็นเหตุผลว่าบางครั้งเราประสบปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมชีวิตของเรา จิตทำงานอย่างไร อันดับแรกคือมีสัญญาณจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีทั้งสิ่งแวดล้อมภายในและสิ่งแวดล้อมภายนอก สมองทำหน้าที่รับรู้สัญญาณนั้น ตีความ แล้วส่งต่อข้อมูลไปยังเซลล์ เพื่อทำการควบคุมพฤติกรรมและพันธุกรรม การทำหน้าที่รับรู้ของสมองนั้นเองที่เป็นตัวสร้างจิตขึ้นมาปรากฏการณ์ยาหลอกหรือ Placebo effect เมื่อคุณมีความคิดว่าบางสิ่งบางอย่างสามารถรักษาคุณได้ (ทั้งที่คุณไม่รู้จริงหรอกว่ามันเป็นยาจริง ๆ หรือเป็นแค่น้ำตาล) แต่คุณเชื่อว่ามันเป็นยารักษาคุณได้ คุณก็หายจากอาการป่วยได้จริง สิ่งที่รักษาคุณไม่ใช่ยา แต่เป็นความคิดต่างหาก ข้อมูลทางสถิติเองก็เผยว่า 1 ใน 3 ของการรักษาที่ได้ผล (รวมถึงการผ่าตัด) เป็นผลมาจาก Placebo effectเมื่อมีผลจากความคิดเชิงบวก ก็มีผลจากความคิดเชิงลบ เรียกว่า Nocebo effect ความคิดเชิงบวกสามารถเยียวยาเราได้ฉันใด ความคิดเชิงลบก็สามารถฆ่าคุณได้ฉันนั้น ความคิดเชิงลบส่งผลกระทบทางเคมี หากหมอบอกคุณว่าคุณเป็นโรคสักโรคหนึ่ง หรือบอกว่าคุณกำลังจะเสียชีวิตเร็ว ๆ นี้ แล้วคุณก็เชื่อ เพราะว่าเขาเป็นหมอนี่นา ความเชื่อนั่นแหล่ะที่จะทำให้คุณป่วยและเสียชีวิต ในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกามีกลุ่มศาสนาหนึ่งชื่อว่า The Baptist Fundamentalists คนกลุ่มนี้ทำพิธีกรรมบางอย่างจนเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า Ecstasy พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าปกป้องคุ้มครองพวกเขาอยู่ แล้วพวกเขาก็ไปทำงานอะไรสักอย่างเกี่ยวกับงูพิษ บางคนโดนงูพิษกัด แต่พวกเขาก็ไม่เป็นไร มีบางคนในกลุ่มที่กินยาเบื่อขั้นรุนแรง แต่เมื่อพวกเขาเข้าสู่สภาวะความเชื่อที่ว่า ยาเบื่อกลับไม่มีผลต่อพวกเขาเลย ดังนั้นหากว่าคุณสามารถกินยาเบื่อได้ คุณจะมากังวลอะไรกับพวกสารพิษอื่น ๆ ในอาหารหรืออากาศหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่พวกเรากังวล เพราะเราเชื่อว่าสารพิษเหล่านั้นเป็นอันตรายกับเรา แต่แม้ว่าผม(ดร.บรูซ) จะรู้ข้อมูลพวกนี้ ผมก็ไม่กินยาเบื่อหรอกนะ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าความเชื่อของผมยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับความเชื่อของพวกเขาฉะนั้นหากเราเติบโตขึ้นมาและได้รับการปลูกฝังด้วยความเชื่อที่แข็งแรงกว่านี้ เราจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าที่เป็นอยู่.นี่เป็นคลิปแค่ 10 นาที ฟังแล้วก็อยากฟังคลิปเต็ม ๆ
ผู้เขียน ขอปิดท้ายด้วยภาพยนตร์สารคดี จิตวิญญาณ ที่ผู้กำกับ Tom Shadyac เป็นผู้สร้างภาพยนตร์สารคดี จิตวิญญาณ ในแง่วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสารคดีที่นำเสนอเรื่องพลังจิตภายในของเราได้ดีมาก ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ผู้เขียนสรุปไว้ข้างต้น
ผู้เขียน ขอปิดท้ายด้วยภาพยนตร์สารคดี จิตวิญญาณ ที่ผู้กำกับ Tom Shadyac เป็นผู้สร้างภาพยนตร์สารคดี จิตวิญญาณ ในแง่วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสารคดีที่นำเสนอเรื่องพลังจิตภายในของเราได้ดีมาก ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ผู้เขียนสรุปไว้ข้างต้น
ชื่อภาพยนตร์ เรื่อง : I Am 2010 (Documentary)
ชื่อผู้กำกับ : Tom Shadyac
คลิปวีดีจาก YouTube โดย moviemaniacsDE : I Am | trailer US (2011)
ผู้เขียนได้ดูภาพยนตร์นี้ตลอดเรื่อง ขอสรุปประเด็นสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ:
I Am บอกเราให้รู้ถึงความสำคัญของ “อารมณ์” หรือ “ความรู้สึกนึกคิด” ซึ่งมันมาจากหัวใจของเรา โดยไม่ได้เกิดจาก “สมอง” ฉะนั้น "อารมณ์" เชื่อมต่อจาก “หัวใจ”
ให้เราสังเกตง่ายๆ เมื่อเรารู้สึกดี สนุกสนาน มีความสุข หัวเราะ ซึ่ง “อารมณ์ด้านบวก” นั้น คลื่นหัวใจของเราก็แผ่ขยายออกไป กราฟชีวิตเราจะดีขึ้น เมื่อหัวใจเราดีเรากำลังส่งอารมณ์ไปยังหัวใจของผู้อื่นได้ด้วย ทำให้คนรอบข้างอารมณ์ดีตามเรา
ภาพยนตร์เรื่อง I AM ประเด็นสำคัญ ต้องการสื่อ ก็คือ อารมณ์ และ หัวใจ
คลิกดูภาพยนต์ได้ที่นี่ <<คลิกที่รูปภาพ>>
รูปภาพ จาก wikipedia ภาพยนตร์ I Am
ภาพยนตร์ I Am บอกกับเราว่า “พลังจิต” นั้นมีจริง โดยผลการพิสูจน์ทางกระบวนการด้านวิทยาศาสตร์ จากทางห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ซึ่งตรงกับแนวคิดชาวเอเชียชาวพุทธ ที่พวกเราได้รับการปลูกฝั่งถ่ายทอดเรียนรู้ เรื่อง “การภาวนา” หรือการกำหนดจิต (การหยุดดูลมหายใจเข้าออก)
เรื่อง “ปราณ” หรือ “พลังลมปราณ” ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์สายจีน หรืออินเดีย (พลังจักราหรือฌาน) หรือ “พลังจักรวาล” จาก “พลังหัวใจ” สารคดีเรื่อง I Am พาเราไปรู้จักกับธาตุ Argon
I Am บอกว่า ธาตุ Argon นั้นเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจมนุษย์ Argon เป็นธาตุเคมีในตารางธาตุที่มีสัญลักษณ์ Ar มีหมายเลขอะตอมคือ 18 และมีปริมาณ 1% ของบรรยากาศโลก ในทางวิทยาศาสตร์ ธาตุ Argon ที่ล่องลอยอยู่ทั่วโลก เมื่อวัดความร้อน ณ อุณหภูมิห้อง Argon มีสถานะเป็นก๊าซ (มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น)
ฉะนั้น ทุกๆ การหายใจเข้าออกของคนเรา มีการสูด Argon เข้าไป และปล่อย Argon ออกมา เป็นไปเช่นนี้นับตั้งแต่ก่อนสิ้นยุคไดโนเสาร์ หลายภพหลายชาติ หรือทุกยุคสมัยจนปัจจุบัน
สรุปก็คือ สิ่งมีชีวิต (สัตว์และพืช) ที่หายใจเอาอากาศเข้าสู่ร่างกายและหายใจเอาอากาศออกจากร่างกาย ต่างล้วนสูดเอา Argon ของสิ่งมีชีวิตอื่น เข้าและออกจากร่างกายเสมอ และเป็นมาตั้งแต่อดีตกาลจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ดังนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก ตั้งแต่โบราณจนกระทั่งถึงอนาคต ต่างถ่ายเท Argon ของกันและกัน ภาพยนตร์สารคดี I Am จึงสรุปว่า “โลกทั้งผองคือพี่น้องกัน”
เราใช้ Argon ของกันและกัน และ “คลื่นหัวใจ” ของเราก็ส่งถึงกันและกัน นี่คือแก่นคิดของหนังเรื่อง I Am ที่ผู้กำกับ Tom Shadyac บอกกับเรา เราสูด Argon ทุกๆ 6.8 -9.5 รอบต่อวินาที
รูปภาพ Tom Shadyac จาก Twitter
I Am ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นการติดตาม ผู้กำกับ Tom Shadyac เมื่อเขาเริ่มการเดินทาง ค้นหาทางสังคม วิทยาศาสตร์ และจิตวิญญาณเพื่อตอบคำถามที่ลึกซึ้งสองข้อ: “เกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้” และ “เราจะทำอย่างไรกับมันได้บ้าง”
หลังจากประสบการณ์ใกล้ตาย Shadyac เดินทางไปทั่วโลกเพื่อสัมภาษณ์ผู้นำทางจิตวิญญาณและวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เช่น อาร์ชบิชอป Desmond Tutu และ Noam Chomsky พร้อมด้วยคนอื่นๆ อีกหลายคน เพื่อค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่รบกวนจิตใจเขา ตลอดภาพยนตร์ Shadyac ระบุว่าที่หลักของการดำรงอยู่ของเรามีความสามารถทางพันธุกรรมและจำเป็นที่จะต้องทำงานร่วมกันและเพื่อความรักของอีกคนหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เหตุผลว่าความสามารถในการเห็นอกเห็นใจและความรักนี้เป็นหนึ่งในลักษณะวิวัฒนาการหลักที่ทำให้เราเจริญเติบโตเป็นสายพันธุ์
คำที่ใช้ตลอดทั้งเรื่องซึ่งโดนใจผู้เขียนมากที่สุด คือ สิ่งที่เรียกว่า " พลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียว " สิ่งนี้ไม่เพียงพาดพิงถึงพลังที่มนุษยชาติมีอยู่โดยรวมเมื่อพวกเขารวมพลัง แต่ยังรวมถึงพลังที่เราแต่ละคนมีในตัวเราด้วย แก่นแท้ของมันคือแนวคิดที่ ONE พยายามปลูกฝังให้สมาชิกทุกวัน ด้วยเสียงของคุณมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมและยิ่งเสียงมากเท่าไหร่การเปลี่ยนแปลงก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เดสมอนด์ ตูตู ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนงานรณรงค์ของ ONE ฉายแสงตลอดทั้งเรื่องเพื่อเน้นย้ำถึงพลังของบุคคลเมื่อรวมเข้ากับส่วนทั้งหมด เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญในการ “กระตุ้นผู้อื่นและกล่าวว่า เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลง”
สำหรับผู้ที่พูดกับตัวเองว่า “อะไรคือประเด็น? ฉันจะทำอะไรกับมันได้บ้าง” ในการอ้างอิงถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม คำตอบอาจทำให้คุณประหลาดใจ “ฉัน” ให้เหตุผลว่าแท้จริงแล้วเราถูกโปรแกรมพันธุกรรมมาให้รัก ร่วมมือ และแบ่งปันซึ่งกันและกัน เรามีพลังในตัวเองในการเปลี่ยนแปลงวิธีที่สังคมดำเนินการและเริ่มต้นที่ระดับบุคคล
ภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงด้วยข้อความที่สวยงาม ในการตอบคำถามเบื้องต้นของเขา Shadyac ค้นพบว่าเราคือสิ่งผิดปกติกับโลกในปัจจุบัน ที่สำคัญกว่านั้น ในการพยายามค้นหาว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง คำตอบนั้นง่ายมาก
คลิปวีดีจาก YouTube โดย movieweb : I Am : Tom Shadyac Interview
หมายเหตุ : เกี่ยวกับภาพยนตร์สารคดี IM ไม่มีเขียนไว้ใน E-book
ผู้เขียนขอสรุป คือ จากประเด็นภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเพียงเนื้อหาบางส่วนของพลังงานภายในตัวของเรา ซึ่งมีความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราสูงมาก และสร้างให้เราสำเร็จ ร่ำรวย หรือจนก็ได้อยู่ที่พลังงานภายในตัวเรานี้แหละ เราเป็นผู้เลือกกำหนดชะตาชีวิตด้วยพลังภายใน
เราไม่จำเป็นต้องวิ่งไปหาพลังงานจากภายนอก แค่เราใช้พลังงานของเราให้อยู่ในเคลื่นอารมณ์ด้านดีๆ ปรับเปลี่ยนจิตใจให้ไปในทิศทางด้านบวกๆ เมื่อไรคลื่นอารมณ์ของเรารู้สึกดี ชีวิตเราจะดีตามขึ้นทันที และที่สำคัญคุณกำลังส่งพลังงานดึงดูดออกไปเพื่อดึงดูดสิ่งเดียวกันกลับเข้ามาในชีวิต
สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ << คลิก >>
►ออกแบบตกแต่งปกและภาพประกอบ จาก : canva : จาก pixabay
►ภาพประกอบ จาก wikipedia : นิโคลา เทสล่า : รูปภาพ T am :Tom Shadyac
►
โดย
► รูปภาพ จาก Twitter โดย Tom Shadyac
โดย อมรรัตน์ บุญฤทธิ์ : Ami Lawyer ผู้เขียนบทความ & Ebook
ความคิดเห็น