“จิตวิทยาการลงทุน” Crypto & Stocks investment 5 ข้อห้ามทำเด็ดขาด หากต้องการเป็นคนส่วนน้อย 3-5% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ


เรื่อง “จิตวิทยาการลงทุน”  หากเราเป็นนักลงทุนในตลาด Crypto & Stock investment ไม่ว่าจะตลาดหุ้น หรือตลาดคลิปโต สิ่งสำคัญเราจะต้องมีความรู้ 2 เรื่องใหญ่ คือ

ความรู้แรก  คือ  ความรู้ด้านวิธีการหรือหลักการลงทุน หรือ How To  

ความรู้ที่สอง คือ ความรู้ด้านจิตวิทยาการลงทุน หรือวิธีคิดและอารมณ์ความรู้สึกของต้นเองและจิตวิทยามวลชนหรือตลาดเป็นอย่างไร 

สิ่งสำคัญวิธีการ สูตรลับความสำคัญของผู้ที่เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ผู้มั่งคั่งร่ำรวยจากการลงทุน ล้วนแล้วพวกเขาไม่ได้ลงทุนประสบความสำเร็จเพียงแค่มีวิธีการ  แต่พวกเขามีวิธีคิดที่นำพาไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งมีนักลงทุนเพียงส่วนน้อยที่จะเข้าใจถึงวิธิคิดและจิตวิทยาในการลงทุน

จิตวิทยาการลงทุน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ หลาย ๆ คนมักจะไม่ให้ความสำคัญเลย หรือมองข้ามไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าเสียเวลาที่จะไปศึกษาหาความรู้กับมัน 

แต่จริงๆ แล้วจิตวิทยาการลงทุนเป็นหัวใจสำคัญในการลงทุน ที่จะเป็นตัวชี้วัดบอกเราได้ว่าเราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนหรือไม่

สถิติผู้สำเร็จจากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน สายถือระยะยาว และนักเทรดระยะสั้น

ผู้ทำกำไรมหาศาลมีเพียง 3-5% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน เพราะเขาเหล่านั้นเข้าใจเรื่องจิตวิทยาการลงทุน

“จิตวิทยาการลงทุน” หลากคนเข้าใจว่า มันเป็นการเรียนรู้พฤติกรรมของนักลงทุนคนอื่น หรือพฤติกรรมของตลาด ที่หลายคนเรียกว่า "จิตวิทยามวลชน"  

แต่แท้จริงแล้ว คำว่าจิตวิทยาการลงทุน มันคือ การเรียนรู้พฤติกรรมการลงทุนของตัวเราเอง หรือเรียนรู้ภายในจิตใจของตัวเอง คุณต้องเริ่มจากจิตใจของตัวเองก่อนเสมอ และคุณจึงไปเรียนรู้พฤติกรรมของตลาดหรือความรู้อื่นๆ จากภายนอก 

สรุป จิตวิทยาการลงทุน

1.เริ่มจากเรียนรู้ภายในจิตใจของตัวเอง พฤติกรรมการลงทุนของเราเองก่อน

2. เรียนรู้ศึกษาพฤติกรรมของผู้อื่นผ่านตลาด อาทิ พฤติกรรมของกราฟ , การวางไม้จะซื้อหรือขาย และอื่นๆ 

จิตวิทยาการตลาด หมายถึงพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีทฤษฎีที่เฉพาะเจาะจง หรือพิสูจน์ความถูกต้องได้ยาก ยังไม่มีผู้ใดที่เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการลงทุนโดยตรง เนื่องจากแต่ละคนมีพฤติกรรมแตกต่างกันไป แต่เราสามารถดูได้จากสถิติที่ทำซ้ำรูปแบบซ้ำ


หากพิจารณาการลงทุน ถ้านักลงทุนจำนวนมากมาอยู่ในตลาด ความคิดความอ่านคล้ายกัน พฤติกรรมการลงทุนจะสอดคล้องในลักษณะเดียวกัน เราเรียกสิ่งนี้ว่า “จิตวิทยามวลชน”


คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจจิตวิทยาการลงทุนมากนัก โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ และเชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยที่เป็น 
นักลงทุนที่อยู่ในตลาดมานานนับ 10 ปี แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้นัก คนที่จะเข้าใจเรื่องนี้โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ลงทุนมาพอสมควร และต้องรู้จักสังเกตความเคลื่อนไหวของตลาดหรือราคา


ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ผู้ชนะใจตัวเองเท่านั้นจะชนะตลาด แค่รู้จักตัวเอง คุณก็จะสามารถอยู่รอดได้ในตลาดการลงทุน”


การลงทุนให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่เราต้องการนั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคลของนักลงทุนแต่ละราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความพึงพอใจ อายุ ผลตอบแทน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้


สิ่งหนึ่งการเรียนรู้ค้นคว้าหาข้อมูลการลงทุนในตลาดมีอยู่มากมาย แต่ทำไมนักลงทุนส่วนใหญ่จึงไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน  


หัวใจสำคัญที่คนส่วนใหญ่ผิดพลาดมากสุด จากการค้นหาสถิติผู้ที่แพ้หรือขาดทุนพบว่า ไม่เข้าใจจิตภายในตัวเองซึ่งเป็นจุดสำคัญสิ่งแรกที่จะทำให้เราสำเร็จในตลาดได้  ฉะนั้น การเรียนรู้และเข้าใจจิตวิทยาการลงทุน มีประโยชน์อย่างมาก และเป็นปัจจัยที่ทำให้บางคนกลายเป็นนักลงทุนที่ร่ำรวยหรือเปลี่ยนชีวิตในระยะเวลาอันสั้น 


ผู้เชี่ยวชาญในการลงทุนมองว่า จิตวิทยาการลงทุนมีส่วนถึง 90% ต่อการประสบความสำเร็จ ในขณะที่ความรู้อื่นๆ มีส่วนเพียงแค่ 10% เท่านั้น  


และนักเทรดผู้สำเร็จที่ทำกำไรมหาศาลได้จากตลาด พวกเขามักแบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จ พวกเขาให้ความสำคัญเรื่องภายในจิตใจ คือ จิตวิทยาภายในหรืออารณ์ในการลงทุนถึง 70%  และความรู้วิธีการเพียงแค่ 30%



ถึงแม้ว่าจะวัดคำนวณเป็นสัดส่วนไม่ได้ชัดเจน แต่ก็สะท้อนให้เห็นความสำคัญของเรื่องจิตวิทยาการลงทุนอยู่มากทีเดียว และน่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนเพียง 3-5% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน


จิตวิทยาการลงทุนสำหรับตัวเอง 

วิธีการจัดการวิธีคิดและอารมณ์ของตัวเอง 

 

จัดการความโลภและความกลัว


จิตวิทยาการลงทุนมักจะเกี่ยวข้องกับความโลภและความกลัว ทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดพฤติกรรมของนักลงทุน ซึ่งมักจะมีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน หรือล้มเหลวในการลงทุน


“ความโลภ” 
จะทำให้นักลงทุนเข้าซื้อ  โดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ หรือมักจะไม่พอใจกับกำไรที่ได้ แต่อยากได้กำไรมากขึ้นไปอีก


ในขณะที่ “ความกลัว” ก็มักทำให้เขาตัดสินใจขายอย่างเร่งรีบ ทำให้นักลงทุนขายเกินไปโดยยอมขาดทุนหรือขายตามปัจจัยข่าวร้ายของตลาดที่เกิดขึ้น



ความแตกต่างของนักลงทุนที่สำเร็จและล้มเหลว


ความแตกต่างของนักลงทุนทั้ง 2 กลุ่ม


นักลงทุนที่ล้มเหลวหรือที่เรียกกันติดปากว่า เม่า ส่วนใหญ่ขายตามผู้อื่นหรือความกลัว 

โดยเฉพาะในช่วงที่นักลงทุนอยู่ใกล้ตลาดมากเกินไป อาจทำให้รู้สึกว่าควรจะต้องขายตามนักลงทุนส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะทำให้เขาขายในราคาที่ลงเกือบจะต่ำสุดแล้ว 


ในขณะที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนน้อยมักจะมองหาจังหวะเข้าซื้อในช่วงที่ราคาถูกคนส่วนใหญ่กลัวขายออกอย่างหนักและราคาเริ่มต่ำเกินไปแล้ว โดยผู้สำเร็จพวกเขาจะมีแผนชัดเจนจะซื้อเมื่อไรและขายในช่วงเวลาที่ราคาใกล้จะอยู่สูงสุด


นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะมีวิธีคิดที่แตกต่างจากนักลงทุนทั่วไป เช่น มีนักลงทุนส่วนน้อยที่มีความคิดว่า การลงทุนเป็นการทำธุรกิจ จึงทุ่มเทให้กับการลงทุน ศึกษารายละเอียดสิ่งที่จะลงทุน มองหาโอกาสใหม่ๆ และพยายามจำกัดความเสี่ยง มองว่าการลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีอาชีพเป็นนักลงทุน (นักลงทุนมืออาชีพ) ซึ่งนักลงทุนจะต้องศึกษาหาข้อมูลที่จะลงทุนอย่างละเอียด มีการวางแผนการลงทุนอย่างเป็นขั้นตอน 
ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะลงทุนตามกระแสข่าว


นักลงทุนที่ดีมีการตั้งเป้าหมายการลงทุน ด้วยการวัดออกมาเป็นตัวเลขผลกำไรที่ต้องการในระยะยาว


ซึ่งโดยทั่วไปเราจะมองเป้าหมายการลงทุนระยะยาวเป็นรายปี ตัวอย่างเช่น 3  ปี  5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี ลองนึกภาพว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของเราจะเป็นเท่าใด 


ลองจิตนาการภาพที่ชัดเจน ออกแบบในสมองของเรา ตอนนี้เรามีอายุ 30 ปี และอีก 20 ปีข้างหน้าเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของเราจะทำกำไรและเงินปันผลเท่าไร  เช่น ลงทุนกับ BTC ด้วยแผนการระยะยาว DCA ทุกเดือนเท่าๆ กัน จะเป็นเงินเท่าไร  หรือหุ้นออม คุณจะเข้าใจถึงพลังงานแห่งเงินที่มันทำงานให้กับคุณแบบทวีคูณ  



ดังนั้น คนอายุน้อย มักมีเวลาลงทุนได้ยาวนานถึง 20 - 30 ปี สิ่งที่นักลงทุนอายุน้อยจะเน้นในเรื่องผลกำไรจากราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ค่อยเน้นในเรื่องเงินปันผลเท่าใดนัก 


แต่สำหรับนักลงทุนมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ระยะเวลาลงทุนที่จำกัดเพียงแค่ 10 ปี ก็จะไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงของหุ้นหรือตลาดคลิปโตที่ผันผวนสูงๆ ได้ มักจะไม่มีทางเลือกลงทุนได้มากนัก หุ้นที่ลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นไปที่หุ้นปันผล และสำหรับตลาดคลิปโตก็มุ่งเน้นลงทุนระยะสั้นๆ 


แตกต่างจากนักลงทุนที่มีอายุน้อยๆ นักลงทุนที่ยังเด็ก จึงมีโอกาสในการลงทุนได้สูงกว่า และก็มักมองเพียงแค่การทำกำไรระยะสั้นเพียงวันต่อวันเท่านั้น และมักจะต้องหาหุ้นหรือ Crypto (คลิปโต) ซื้อขายอยู่ตลอดเวลา


เมื่อเห็นประโยชน์ของจิตวิทยาการลงทุนเช่นนี้แล้ว นักลงทุนที่ยังล้มเหลว หากคุณยังค้นหาแนวทางการลงทุนของตัวเองไม่เจอและต้องการประสบความสำเร็จ สิ่งแรกที่คุณต้องเริ่มทบทวนและมองตัวเอง คือ ตรวจสอบพฤติกรรมการลงทุนของคุณ และเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ลองนำแนวทางเหลานี้มาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจลงทุนในทุกๆ ครั้ง


จิตวิทยาการลงทุน” คืออะไร ?

จิตวิทยาการลงทุน คือสภาพภายในจิตใจและสภาวะอารมณ์ในการลงทุนของเรา ซึ่งจิตวิทยาการลงทุนถือว่ามีความสำคัญมากในการลงทุน เพราะมันอาจจะเป็นตัวกำหนดเลยก็ได้ว่าเราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนหรือไม่


จิตวิทยาการลงทุน จึงเป็นแนวคิดภายในจิตใจของมนุษย์ทุกคน ที่ถูกสร้างเชิงอคติ แม้ว่าเราจะไม่รู้ตัวว่ามันมีอยู่ แต่มันมักจะเผยตัวออกมาเสมอเวลาที่มีเรื่องของการลงทุน เข้ามาเกี่ยวข้อง และทุกครั้งที่มันเผยตัว มันมีทั้งข้อดีและข้อร้าย มักทำให้นักลงทุนหลายคนมีทั้งเจ็บตัวและผู้ที่เข้าใจมักจะสำเร็จ ฉะนั้น จิตภายในประตู้เริ่มแรกที่เราต้องเรียนรู้เพื่อนำไปสู่ชัยชนะ

จิตวิทยาการลงทุนจึงไม่ใช่เพียงเรื่องที่จับต้องไม่ได้อีกต่อไป แต่มันคือสิ่งสำคัญที่อาจถึงขั้นชี้ชะตาการลงทุนของคุณได้ 

ด้วยเหตุนี้เอง จอห์น นอฟซิงเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการลงทุนอันดับต้นๆ ของโลก จึงถ่ายทอดความคิดและวิธีการรับมือกับอคติทางการลงทุน โดยเขาได้เขียนหนังสือที่มีชื่อเสียงและให้ความสำคัญต่อจิตใจมากกว่าวิธีการลงทุน นั้นคือ เราจะใช้อคติอย่างไรให้เกิดประโยชน์ต่อการลงทุนมากที่สุด

รู้ทัน “จิตวิทยาการลงทุน” พิชิตความสำเร็จ

5  ข้อห้ามทำเด็ดขาด 

1. ลงทุนตามอารมณ์ คือ คนส่วนใหญ่ ไม่วางแผนการลงทุน ไม่เข้าซื้อจุดราคาที่ยุติธรรมหรือของถูกเหมาะสมกับเราและขายตามแผนที่วางไว้เท่านั้น

การลงทุนจะทำกำไรได้ ปัญหาใหญ่ของหลายคน อารมณ์ส่งผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนเสมอ หลายครั้งเรามักจะวิ่งไล่ราคาหรือซื้อบนดอย  หรือที่เรียกว่า ติดดอย  เป็นเม่าบาง

ในการลงทุนของเรามันอาจจะไม่ใช่ความรู้ในเชิงเทคนิคและวิธีการลงทุนด้านเดียว แต่อารมณ์การลงทุนเป็นปัญหาใหญ่ของเราก็ว่าได้ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มักมีปัญหาความมั่นคงทางจิตใจ สาเหตุที่ทำให้ความมั่นคงทางจิตใจของเราเปลี่ยนไปเป็น 2 สาเหตุด้วยกัน คือ 

  • ความกลัว เช่น เมื่อได้รับข้อมูลข่าวร้าย กลัวขาดทุน, กลัวราคาจะลงไปมากกว่านี้, กลัวไม่ได้เก็บของ 
  • ความโลภ คือ เมื่อได้รับข่าวดี ราคากำลังวิ่ง กำลังเป็นกระทิง  รีบร้อนซื้อ 

วิธีแก้ปัญหานี้ ผู้รู้มักแนะนำให้เราเขียนแผนที่ชัดเจนเอาไว้เลย แล้วทำตามแผนที่เราเขียนไว้ทุกขั้นตอน แต่ตรงนี้เราก็ต้องปรับตามหน้าเทรดหรือกลยุทธ์การลงทุน การวางแผนช่วยแก้ปัญหาข้อนี้ได้ดีขึ้น  

2. เชื่อง่าย ติดสินใจเร็ว คือ คนส่วนใหญ่ เชื่อผู้อื่นหรือข่าว นักวิเคราะห์มากเกินไป 

ข้อนี้มักเป็นทั้งนักลงทุนมือใหม่และเก่า  เป็นข้อที่คนส่วนใหญ่ หลาย ๆ คนที่อยู่ในตลาดฟังนักวิเคราะห์ ฟังคนอื่นบอกว่า เหรียญนี้หรือหุ้นนี้ ดีน่าลงทุนก็เข้าซื้อ  และคนส่วนใหญ่มักมีกลุ่มมีเพื่อนมีคนเข้ามาเทรดร่วม สร้างกลุ่มลงทุน

ข้อดีหากเรามีกลุ่มเพื่อนของตัวเองเข้ามาเทรดด้วย มันจะทำให้เราสนุกกับการเทรดหรือลงทุนมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญเราต้องศึกษาเรียนรู้จากผู้สำเร็จให้มาก เพื่อทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้นด้วยและเพื่อนในกลุ่มเราสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้กันในกลุ่มได้สำหรับการพัฒนา 

แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องระวัง คือ อย่าเชื่อคนอื่นมากเกินไป หมายความว่าเวลาที่เราปรึกษากับเพื่อนในกลุ่มมันก็จะมีการแนะนำ ซึ่งเราจะต้องไม่เชื่อทันทีต้องหาข้อมูลความรู้สิ่งอื่นๆ ประกอบด้วยเสมอ เหตุผลเพราะว่า 

  • การเชื่อหุ้นคนอื่นจะทำให้เราไม่ได้พัฒนาตัวเอง และ
  • จงจำไว้ว่าบางทีเขาไม่ได้บอกเราทุกอย่าง

วิธีแก้ไขข้อนี้ คือ เราจะต้องนำข้อมูลคำแนะนำเหล่านั้น ไปศึกษาหรือทำการบ้านเพิ่มเติม เช่น ดูกราฟ หรือดูปัจจัยพื้นฐาน แล้วตัดสินใจด้วยตัวเราเอง  แบบนี้มันจะทำให้เราได้พัฒนา

3. ฝังใจกับข้อมูลเดิม ๆ  คือ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ 

ผู้เขียนเป็นนักเขียนและทำอาชีพทนายมายาวนั้น สิ่งหนึ่งที่เจอลูกค้าคนส่วนใหญ่เมื่อเรียนรู้สิ่งใดมามักจะเก็บข้อมูลเดิมและใช้สิ่งเดิมซ้ำๆ ไม่ชอบการเรียนรู้สิ่งใหญ่หรือหาข้อมูลใหม่ มักจะลงทุนแบบเดิม ซื้อหุ้นหรือคลิปโตตัวเดิมๆ หรือสิ่งที่มีข้อมูลเดิมๆ  หรือมีพฤติกรรมการลงทุนแบบเดิมๆ 

บางคนก็เฝ้าลงทุนเฉพาะเหรียญหรือหุ้นตัวเดียว เทรดก็เล่นตัวเดียว การลงทุนที่ดีต้องกระจ่ายความเสี่ยง ลองมองหามากกว่า 1 อย่าง เริ่มจากลงทุนกระจ่ายการลงทุนเริ่มจากเงินน้อย ๆ ก่อนก็ได้ เพราะหากตลาดขาขึ้น หุ้นหรือเหรียญแต่ละประเภทจะขึ้นไม่พร้อมกันและเวลาลงก็ลงไม่พร้อมหรือไม่เท่ากัน เช่น บางเหรียญขึ้นสูง บางเหรียญร่วงหนัก กำไรหรือขาดทุนไม่เท่ากัน มากน้อยอยู่กับการกระจ่ายความเสี่ยงของเรา 

4. ใช้ Margin (มาจิ้น) มากเกิน หรือ Overtrade 

พฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่มักทำกัน  การที่เราจะ Overtrade หรือการเทรดมากเกิน มันเกิดขึ้นเพราะความมั่นใจและความโลภของตัวเองมากเกินไป เช่น เรากำลังลงทุนหรือเทรดผลปรากฎว่าทำกำไรทุกตัว เกิดความมั่นใจมาก เรามักไม่ยอมหยุดเทรด และเพิ่มการลงทุนมากขึ้น หรือที่เรียกว่า เล่นหลายไม้ และเริ่มเพิ่มไม้ใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ เกินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ แล้วเมื่อผิดทางขึ้นมาทำให้เกิดความเสียหายกับพอร์ตอย่างมหาศาล ซึ่งอาจจะทำให้พอร์ตเราไม่โตและอาจจะไปถึงขั้นขาดทุนถึงเงินทุนเลยก็เป็นไปได้เช่นกัน

5.  “Mindset การลงทุน” ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ทำพลาด จึงไม่ประสบความสำเร็จ 

Mindset การลงทุน” คือ ความคิดในสมองของเรา ซึ่งจะเป็นตัวกลั่นกรองและวางแผนทุกอย่างก่อนที่เราจะเริ่มลงทุน ซึ่งความคิดของเราควรที่จะสอดคล้องกับเป้าหมายในการลงทุนของเรา

Mindset ที่ดีต้องใช้เวลาและประสบการณ์เข้ามาช่วย เพราะในระยะแรก ๆ เราก็จะยังไม่รู้อารมณ์ตลาด ไม่รู้จักนิสัยหุ้นหรือกราฟ  เหรียญ Cryptoแต่ละตัว และที่สำคัญ คือเรายังไม่รู้จักข้อเสียของตัวเองดีพอ คนส่วนใหญ่มักไม่มองตัวเองหรือเรามักไม่รู้ถึงพฤติกรรมลงทุนตัวเองที่เป็นปัจจัยสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เราลงทุนไม่สำเร็จ แต่เรามักเข้าใจพฤติกรรมตลาดดีกว่าตัวเอง 

หลัก ๆ แล้ว Mindset ที่นักลงทุนทั้งมือใหม่และมือเก่าควรรู้  แต่มักทำพลาดในตลาด  คนส่วนใหญ่มักมีความคิดว่า เทรดบ่อย ๆ ถึงจะดี คนสำเร็จพวกเขาไม่ได้เทรดทุกวัน คนไม่สำเร็จมักคิดว่าเปอร์เซ็นต์ขาดทุนเท่ากับเปอร์เซ็นต์กำไร และลงทุนแบบได้ไม่คุ้มเสีย

"เป้าหมายการลงทุน” ของเราคืออะไร ?  

นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นนักลงทุนประเภทไหน และไม่ชอบวางแผนการลงทุน นี่คือจุดผิดพลาดของการลงทุน ฉะนั้น เราจะต้องรู้ก่อนว่าเราเป็นนักลงทุนประเภทไหนเพราะแต่ละประเภทมีวิธีการในการลงทุนที่อาจแตกต่างกันในรายละเอียด ซึ่งการลงทุนมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ



1. นักลงทุนประเภท ลงทุนถือระยะยาว 

หากเรามีเป้าหมายการลงทุนระยะยาว คือ การลงทุนรอเวลาทำกำไรก้อนใหญ่ เราจะต้องมีการวางแผนและค้นหาหุ้นหรือคลิปโต (Crypto)ที่มีพื้นฐานดี หรือ VI ตัวอย่างเช่น

กรณีเป็น Stocks (หุ้น) คือ ค้นหาหุ้นพื้นฐานดี ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น งบการเงิน ผู้บริหาร แผนอนาคต

กรณีเป็น Crypto (คลิปโต) คือ ค้นหา Crypto โครงสร้างพื้นที่ดี ราคาต่ำ หรือเหรียญต้นน้ำ ดูโปรเจ็ก ,ประเภทของเหรียญ เช่น เหรียญสัญญาอิจฉริยะ อาทิ Eth  หรือ เหรียญมีนต้นน้ำอาทิ Shiba 

เราต้องรู้กลไกรตลาดภาพใหญ่ตลาดมีขาขึ้นและมีขาลง  ดังนั้น การถือระยะยาวและถ้าราคาดาวลงหรือตกลงมาในบางช่วยระยะเวลาตามกลไกรตลาด ก็ไม่ควรจะตกใจจนเกินไป เพราะเรามีเป้าหมายถือระยะยาว ซึ่งเราจะต้องเจอปัญหาขึ้นและลงตลอดระยะเวลาการลงทุน

2.นักลงทุน ประเภท นักเทรดหรือลงทุนระยะสั้น

หากเรามีเป้าหมายการลงทุนระยะสั้นหรือเป็นนักเทรด คือ การหวังผลกำไรเร็วๆ ในระยะเวลาอันสั้น เช่น รายวัน รายอาทิตย์ หรือ รายเดือน  เราก็อาจจะต้องศึกษาหาข้อมูลความรู้ด้านเทคนิค เลือกหาหุ้นหรือเหรียญ Crypto ที่มีกราฟทรงสวย เกิดสัญญาณซื้อ หรืออาจจะมีข่าวดีเข้ามาในช่วงนั้นหรือใช้ระบบ AI หรือเทคนิคเข้าช่วย

นักลงทุนมักมองข้ามเรื่อง “Mindset การลงทุน”  คนส่วนใหญ่ ไม่ให้ความสำคัญสำหรับวิธีคิดแต่สำหรับผู้สำเร็จซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อย พวกเขาประสบความสำเร็จมาจากวิธีคิดเป็นเรื่องสำคัญระดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ 

แต่บางคนก็มักจะมองข้ามไป เพราะมองว่าเสียเวลา และมันดูเหมือนเป็นอะไรที่ไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่ มี Mindset ดีแค่ไหนก็ไม่ได้ทำเงินให้เขา และจะไปให้ความสำคัญกับการความรู้แทน เพราะมองว่าสิ่งที่จะทำกำไรให้ได้ คือความรู้ในการลงทุน

วิธีแก้ คือ ทำความเข้าใจเรื่อง จิตวิทยาการลงทุน เหมือนศึกษากลไกการทำงานของสมอง ทำให้เรารู้ทันตัวเอง หากนำไปใช้กับการลงทุน จะช่วยให้ลดการขาดทุน และมีวินัยได้เป็นอย่างดี

วิธีแก้ จิตวิทยาการลงทุน 

1. วางเป้าหมายและแผนที่ชัดเจน และลงทุนตามแผน มีวินัยในการลงทุน เริ่มตั้งแต่กำหนดกฎเกณฑ์ในการลงทุนของตัวเองไว้เลย เช่น เราจะทำการซื้อขายจุดไหนหรือสถานการณ์ไหนบ้าง 

2. ตั้งสติทุกครั้ง เมื่อได้รับข่าวสารไม่ว่าช่องทางใดๆ เช่น นักวิเคราะห์ , เพื่อน ,กูรูต่างๆ ,สำนักข่าวต่างๆ หากเราไปเสพหรือได้ยินมา เขาบอกว่า หุ้นตัวนี้ดี หรือเหรียญนั้นดี  ก่อนจะตัดสินใจลงทุนซื้อ ก็ให้ เราฉุกคิดก่อนว่า เรายังไม่ได้ทำการบ้านตัวนี้เลย หากเราจะซื้อแสดงว่า เรากำลังติดกับดักทางจิตใจเราอยู่

และถ้าเรารู้ตัวว่า เราเป็นคนเชื่อคนง่าย อ่านอะไรมา ฟังอะไรมาก็เชื่อไปหมด เราก็ต้องรู้ตัวว่า เรากำลังติดกับดักอยู่เช่นกัน เราควรอ่านอย่างมีสติ จับประเด็นที่เป็นความจริงเท่านั้น อะไรที่เป็นความเห็นของผู้อื่น สามารถเอามาประกอบ แต่ไม่ควรเอามาเป็นตัวตัดสิน

หากเราเจอข่าวร้ายไม่ว่าช่องทางใดๆ  สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือ ตั้งสติ อย่าเชื่อข่าวต่างๆ มากเกินไป ให้ควบคุมอารณ์ตัวเองไว้ก่อน อย่าพึ่งติดสินใจขายหรืออย่ากลัวมากเกินไป ให้กลับมาที่จุดเริ่มต้นก่อน เราซื้อเพราะอะไร และเรามีเป้าหมายและแผนกำหนดไว้อย่างไร ให้ทบทวนก่อนตัดสินใจก่อนเสมอ จะช่วยลดความผิดพลาดในการลงทุนได้

3. ฝึกฝนและพัฒนาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง อย่างหยุดการเรียนรู้ ทุกๆ ปีให้หาความรู้สิ่งใหม่ๆวิธีการและวิธีคิดใหม่ให้กับตนเองเสมอ

4. ตั้งจิตให้รู้สึกตัวเสมอ รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองเสมอ คือ อยู่กับปัจจับัน ฝึกตนเองให้มีสติ

ข้อมูลทั้งหมดผู้เขียนได้รวบรวมมาจากการหลากหลายแหล่งความรู้ที่คิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการลงทุน ลดความเสี่ยงให้กับเรา และช่วยให้เราลงทุนประสบความสำเร็จในอนาคตต่อไป 

ติดตามช่องยูทูป พูดคุยเกี่ยวกับการลงทุน คลิปโตได้ตามลิงค์ด้านล่างคะ


ติดตามผลงานเขียน งานเขียนยอดนิยม คัมภีร์เปลี่ยนชีวิต



หนังสือเปลี่ยนชีวิต ตู้ชั้น E-book ตัวอย่างอ่านฟรี : แนวจิตวิทยาพัฒนาตัวเอง พลังจิตใต้สำนึก พลังจิตวิญญาณ พลังเนรมิตร ชีวิตลิขิตได้ด้วยกฎแรงดึงดูด พลังจักรวาล โดยรับรองผลลัพธ์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ด้วยการทดลองอ่านฟรี













สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติม เคล็ดลับการออกแบบชีวิต ด้วยการจิตนการ และการเขียนเป้าหมาย จาก E-Book ตัวอย่างอ่านฟรี





ที่มาข้อมูล : แหล่งอ้างอิง
รูปภาพปกและภาพประกอบ ของ John R. Nofsingerจาก business.uaa.alaska.edu   : ภาพที่ 1  
ออกแบบตกแต่งปกและภาพประกอบ  จาก : canva : จาก pixabay

Ami Amornrat นักเขียน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความลับจินตนาการ ดึงดูดสร้างความสำเร็จ !! โดย Neville Goddard [เนวิลล์ ก็อดดาร์ด] บุคคลสำคัญแห่งโลก

คู่มือนักพยากรณ์ไพ่ยิปซีพลังจิตเงินล้าน สูตรลับกฎแรงดึงดูด ( Law of attraction) #อาชีพสร้างรายได้หลักแสนถึงหลักล้านรวดเร็ว

คัมภีร์เปลี่ยนชีวิต สะกดจิต ผลิตเงินล้าน รวมสูตรลับความสำเร็จ กฎแรงดึงดูด [Law of Attraction] พิสูจน์สิ่งมหัศจรรย์ด้วยตัวคุณเอง #ภาพยนตร์สารคดีวิทยาศาสตร์ " I Am : Tom Shadyac "