ความลับคลื่นสมอง การวาร์ปคุณเป็นคนใหม่ รวยได้ด้วยคลื่นสมอง รูปแบบระดับคลื่นสมองส่งผลต่อชีวิต ภาวะของคลื่นสมอง พลังงานจิตภายใน เข้าใจภาวะคลื่นสมอง ควบคุมชีวิตได้
มหัศจรรย์ คลื่นสมอง ผลวิจัยทางกระบวนการวิทยาศาสตร์
สำหรับบทความนี้ผู้เขียนได้รวบคุมข้อมูลเกี่ยวกับคลื่นสมองในแง่ของวิทยาศาสตร์ในยุคสมัยนี้ วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องไม้มันทันสมัย สามารถตรวจสอบจับหาคลื่นสมองภายในสมองของเราได้ โดยคลื่นสมองมันเป็นพลังงานกระแสไฟฟ้าภายในตัวของเรา มันมีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา
สมองของเรามีความสามารถที่น่าทึ่งในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งนี้เรียกว่า "นิวโรพลาสติก" สมองของเราไม่มีโครงสร้างตายตัว ค่อนข้างเป็นระบบไดนามิกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและ พัฒนาเพื่อตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ในความเป็นจริงการวิจัยที่ทำในทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าสมองมีมาก อ่อนตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าที่เคยคิดไว้
Neuroplasticity สามารถเกิดขึ้นได้ในระดับต่างๆ ของสมอง ตั้งแต่ระดับ เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จนถึงระดับของบริเวณสมองทั้งหมด หนึ่งในคุณสมบัติหลักของ neuroplasticity ก็คือมันเป็น ขึ้นอยู่กับกิจกรรม
พลังแห่งการ "การวาร์ปด้ววคลื่นสมอง" ระบบการขับเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง (FTL) ขับเคลื่อนด้วยการวาร์ป อาจเดินทางด้วยอัตราเร็วที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่าอัตราเร็วของแสงหลายเท่าตัว
ซึ่งหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงในสมองนั้นขับเคลื่อนโดยประสบการณ์และกิจกรรม.
ตัวอย่างเช่น หากบุคคลทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งซ้ำๆ เช่น เรียนเล่นเครื่องดนตรีหรือฝึกภาษาใหม่ สมองจะปรับให้เข้ากับประสบการณ์เหล่านี้และพัฒนาการเชื่อมต่อของระบบประสาทใหม่ ที่สนับสนุนกิจกรรมเหล่านี้
Neuroplasticity ยังมีนัยสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและสมอง หากสมองสามารถเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่อตอบสนอง ประสบการณ์ หมายความว่าจิตใจของเราก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน และปรับตัว แต่เราหมายถึงอะไรเมื่อเราพูดว่า "ใจ"?
จิตใจคืออะไร?
จิตไม่มีอะไรนอกจากความคิด ไม่มีจิตใจที่ปราศจากความคิด ดังนั้น เนื่องจากความยืดหยุ่นของสมอง เราจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างสิ้นเชิง รูปแบบความคิดหรือจิตใจของเรา เราสามารถเปลี่ยนรูปแบบความคิดของเราให้มีความสุขหรือเป็นประโยชน์มากขึ้น จิตใจ แต่ยิ่งไปกว่านั้น เรายังสามารถพัฒนาความสามารถในการชะลอหรือแม้แต่หยุดความคิดโดยสิ้นเชิง โดยกิจกรรมการมุ่งความสนใจไปที่ความว่างหรือความเงียบที่ว่างเปล่า ระหว่างความคิด.
ประเพณีทางศาสนาและอาถรรพ์มากมายรวมถึงสำนักต่างๆ พระพุทธศาสนาสอนว่าเป็นความสามารถที่จะอยู่ในความว่างเปล่าระหว่าง ความคิดที่ในที่สุดก็เปิดเผยธรรมชาติของความเป็นจริงและความเป็นจริงของเราเป็นใครอย่างแท้จริง
จากการศึกษาคลื่นสมองของคนเราในอดีต เคยเชื่อกันว่า คลื่นสมอง และ สารที่หลั่งจากสมอง นั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถบังคับ หรือ ควบคุมกระบวนการได้ แต่ปัจจุบันได้มีการทดลองและตรวจวัดคลื่นสมองด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ พบว่ามนุษย์สามารถควบคุมคลื่นสมอง และ สารที่หลั่งจากสมอง ได้หากมีการฝึกฝนทางจิต ให้ควบคุมสภาวะอารมณ์และจิตใจได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่อง เหนือธรรมชาติ หรือ เร้นลับหาคำอธิบายไม่ได้ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ
ภาวะของคลื่นสมอง
คลื่นสมองเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งได้มาจากการส่ง สัญญาณเคมีทางชีวภาพในร่างกายมนุษย์ การวัดพลังงานไฟฟ้าบริเวณสมองด้วย เครื่องมือ Electroencephalogram (EEG) ทำให้นักวิจัยทางประสาทวิทยา และ นักวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบ ความจริงว่า การเลือกตอบสนองต่อปัจจัยภายนอกมีผล โดยตรง ต่อสภาวะภายใน ที่เป็น คลื่นสมอง เราสามารถอ่านค่าผลของคลื่นสมองได้
เรามารู้จักคลื่นสมองกันคะ มีอะไรบ้าง ดังนี้
รูปแบบแรก : คลื่นเดลต้า (Delta wave 1 – 3 Hz) เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด แต่บอกเลยว่า ช้าแต่ปัง เล็กพริกขี้หนูของจริง เพราะคลื่นนี้จะเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังนอนหลับ เป็นช่วงที่ร่างกายพักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่ฝันด้วยนะ พอเราตื่นจะรู้สึกสดชื่นสุด ๆ ไปเลย
คลื่นเดลต้า (Delta brainwaves) มีความถี่ประมาณ 0 – 4 รอบต่อวินาที(Hz) เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด สภาวะนี้จะทำให้ ร่างกายเกิดความผ่อนคลาย ในระดับที่สูงมาก เป็นคลื่นสมองที่ทำงานเชื่อมต่อกับส่วนที่เป็น จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) เช่น ในขณะที่ร่างกายหลับลึกโดยไม่มีการฝัน หรือ เกิดจากการเข้าสมาธิลึกๆ ในระดับฌาน ในช่วงนี้คลื่นสมองแสดงให้เห็นว่า ร่างกายกำลังดื่มด่ำกับ การพักผ่อนลงลึกอย่างเต็มที่ เปรียบได้กับการประจุพลังงานเข้าสู่ร่างกายใหม่ ผู้ที่ผ่านการหลับลึก ในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นกระปี้กระเปร่ามากเป็นพิเศษ เมื่อเปรียบเทียบกับ ผู้ที่นอนหลับไม่ค่อยสนิท และสำหรับผู้ที่ทำสมาธิอยู่ในระดับฌานลึก ๆ เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็จะยังคงติดรสแห่งปิติสุข ทำให้เกิดความสุขใจ มีใบหน้าผ่องใสเต็มอิ่ม ไปด้วย ความสุขสดชื่นเช่นเดียวกัน
รูปแบบที่ 2 : คลื่นธีต้า (Theta wave 4 – 8 Hz) คลื่นสมองสุดเจ๋งที่จะช่วยทำให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีความผ่อนคลายระดับลึก ช่วงที่เรากำลังมีสมาธิ หรือช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น ซึ่งทำให้เราสามารถดึงข้อมูลจากจิตใต้สำนึกได้ และสามารถเรียกความทรงจำระยะยาวได้ดีอีกด้วย
คลื่นธีต้า (Theta brainwaves) มีคลื่นความถี่ประมาณ 4 - 11 รอบต่อวินาที (Hz) เป็นช่วงคลื่นที่สมองทำงานช้าลงมาก พบเป็นปรกติในช่วงที่คนเราหลับ หรือมีความผ่อนคลายอย่างสูง แต่ใน ภาวะที่ไม่หลับคลื่นชนิดนี้ ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ขณะอยู่ในการภาวนาสมาธิที่ลึกในระดับหนึ่ง การเข้าสู่สภาวะนี้ จะใกล้เคียงกับ คลื่นสมองในสภาวะอัลฟ่า คือ มีความสุข สบาย ลืมความทุกข์ แต่จะมีความปิติสุขมากกว่า สภาวะนี้มีความเชื่อมโยงกับ การเห็นภาพต่าง ๆ สมองในช่วงคลื่นเธต้า จะเปรียบเสมือน แหล่งเก็บแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ในความจิตใจส่วนลึกของเรา จึงเป็นคลื่นสมองที่สะท้อนการทำงานของจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) อันเป็นการทำงานของเนื้อสมองส่วนใหญ่ของมนุษย์ ระดับพฤติกรรมภายใต้ความถี่ของของคลื่นเธต้า เป็นลักษณะที่บุคคล คิดคำนึงเพื่อแก้ปัญหา พบได้ทั้งลักษณะที่รู้สำนึก และไร้สำนึก ปรากฏออกมาเป็น ความคิดสร้างสรรค์ เกิดความคิดหยั่งเห็น (Insight) มีความสงบทางจิต และมองโลกในแง่ดี เกิดสมาธิแน่วแน่และเกิดปัญญาญาณ มีศักยภาพสำหรับ ความจำระยะยาวและ การระลึกรู้
รูปแบบที่ 3 : คลื่นอัลฟ่า (Alpha wave 9 – 13 Hz) มาถึงคลื่นสมองรูปแบบที่ 3 แต่ยืนหนึ่ง เลิศสุด เพราะเจ้าตัวนี้จะเป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นเมื่อเราพักผ่อนและมีความสงบ แต่ยังอยู่ในสภาวะที่รู้ตัวอยู่ แต่ แต่ แต่ สภาวะนี้แหละ จะเป็น “สภาวะที่สมองสามารถรับข้อมูลได้ดีที่สุด” สามารถเรียนรู้ได้ปัง จำอะไรก็เข้าหัว!
คลื่นอัลฟ่า (Alpha brainwave) มีความถี่ประมาณ 7-14 รอบต่อวินาที (Hz) ความถี่ ของคลื่นที่ต่ำลงมานี้ ก็คือ เป็นคลื่นสมองที่ปรากฎบ่อย ในเด็กที่มีความสุข และในผู้ใหญ่ที่มีการฝึกฝนตนเองให้สงบนิ่งมากขึ้น อาจหมายถึง สภาวะที่จิตสมดุล อยู่ใน สภาวะสบายๆ มีการช้าลงด้วย การใคร่ครวญ ไม่ด่วนตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วย อารมณ์อันรวดเร็ว เวลาที่ความถี่น้อยลง หมายถึงว่า เราจะคิดช้าลง เป็นจังหวะ เป็นท่วงทำนอง คมชัด ให้เวลาแก่จิตในการไตร่ตรองและมีความคิดเป็นระบบขึ้น สภาวะที่สมองทำงาน อยู่ในคลื่นอัลฟ่ายังพบอยู่ใน หลายๆ รูปแบบ เช่น ขณะที่กล้ามเนื้อ หรือ ร่างกายผ่อนคลาย ช่วงเวลาที่ง่วงนอน ก่อนหลับหรือหลับใหม่ๆ เวลาทำอะไรเพลินๆ จนลืมสิ่งรอบๆ ตัว เวลาสบายใจ เวลาอ่านหนังสือ หรือ จดจ่อกับกิจกรรมใด ๆ อย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง และการเข้าสมาธิ ในระดับภวังค์ที่ไม่ลึกมาก
จากลักษณะดังกล่าว ช่วงคลื่นอัลฟ่า จะเป็นประตูไปสู่ การทำสมาธิในระดับลึก และถือว่า เป็นช่วงที่ดีที่สุด ในการป้อนข้อมูล ให้แก่ จิตใต้สำนึก สมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่ และ เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นสภาวะที่ จิตมีประสิทธิภาพสูง ในทางการแพทย์ และ จิตศาสตร์ เองก็ถือว่า สภาวะนี้เป็น หัวใจของการสะกดจิต เพื่อการบำบัดโรค โดยหากจะ ตั้ง โปรแกรมจิตใต้สำนึก ก็ควรทำใน ช่วงที่คลื่นสมองเป็นอัลฟ่า ในคนทั่วไปเอง ก็ควรฝึกฝนตนเองให้ สมองทำงานอยู่ใน ช่วงคลื่นอัลฟ่า เป็นประจำเช่นเดียวกัน เพราะจะช่วยสร้าง ความผ่อนคลาย ร่างกายจะไม่ทำงานอยู่บน ฐานแห่งความกลัว หรือ วิตกกังวล แต่จะมองชีวิต อย่างสนุกสนาน มีความรู้สึกอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรืออยากสำรวจโลกแบบเด็ก ๆ แต่คนส่วนใหญ่ มักจะขาดการฝึกฝนให้ตนเอง มีคลื่นสมองชนิดนี้ และมักปล่อยให้อารมณ์อัตโนมัติตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ขาดการคิดใคร่ครวญ ด้วยระยะเวลาอันเหมาะสมก่อน หากเรามีการฝึกฝนจิตให้ตื่นรู้เช่นเดียวกัน กับแนวทางการปฏิบัติธรรม ในพุทธศาสนา คลื่นอัลฟ่านี้จะถูกบ่มเพาะให้เข้มแข็งขึ้น สามารถรื้อโปรแกรมอัตโนมัติเก่า สร้างโปรแกรมอัตโนมัติใหม่ ๆ ได้
รูปแบบสุดท้าย : คลื่นเบต้า (Beta wave 14 – 30 Hz) เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่สูงสุด และจะเกิดเมื่ออยู่ในภาวะที่รู้ตัวและภาวะการทำงาน เช่น การพูดคุย การทำงาน หรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
คลื่นเบต้า (Beta brainwave) มีความถี่ประมาณ 14-21 รอบต่อวินาที (Hz) เป็นช่วง คลื่นสมองที่เร็วที่สุด เกิดขึ้นใน ขณะที่สมองอยู่ใน ภาวะของการทำงาน และ ควบคุมจิตใต้สำนึก (Conscious Mind) ในขณะตื่นและรู้ตัว เช่น การนั่ง ยืน เดิน ทำงาน หรือกิจกรรมต่างๆ ในกรณีที่จิตมีความคิดมากมายหลายอย่างจาก ภารกิจประจำวัน วุ่นวายใจ สับสน หรือฟุ้งซ่าน และสั่งการสมองอย่างไม่เป็นระเบียบ ความถี่ของคลื่นช่วงนี้อาจสูงขึ้นได้ถึง 40 Hz โดยเฉพาะคนในที่มีความเครียดมาก อยู่ในภาวะเร่งรีบบีบคั้น ตื่นเต้นตกใจ อารมณ์ไม่ดี โกรธหรือดีใจมาก ๆ สมองจะมีการทำงานใน ช่วงคลื่นเบต้ามากเกินไป ในขณะที่หากไม่มีคลื่นเบต้าเกิดขึ้นเลย มนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ หรือทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ ในโลกภายนอก
ปกติสมองคนเรา จะมีเส้นทางอัตโนมัติ ในการรับรู้ความรู้สึก ที่ทำให้สั่งการได้โดยไม่ต้องใช้เวลาใน การใคร่ครวญมากนัก ความเป็นอัตโนมัตินี้ ส่วนใหญ่จะมีประโยชน์อยู่ในระดับหนึ่ง และเป็นเรื่องกลาง ๆ สำหรับชีวิต ช่วยย่นย่อ จดจำ เรื่องราวจำเจ ที่ต้องทำซ้ำ ๆ เป็นประจำให้ดำเนินไปได้ บางส่วนเป็นไป เพื่อประโยชน์ต่อการรอดพ้น จากอันตรายในสถานการณ์คับขัน เช่น การดึงมือออกทันที เมื่อบังเอิญไปสัมผัสของร้อนจัด แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ “อารมณ์ของมนุษย์” ก็มีเส้นทางอัตโนมัติเช่นเดียวกัน แต่คนส่วนใหญ่ มักจะไม่ได้ควบคุม และปล่อยให้ความเป็นอัตโนมัตินี้ทำงานมากเกินไป จากความเคยชินในการป้อนข้อมูลซ้ำ ๆ ของเราเอง โดยมากเป็นความอัตโนมัติ ในทางลบที่มีมากเกินไป ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ ถูกส่งผ่านเข้าไปสู่ การทำงานของ ส่วนรับความรู้สึกในสมอง ที่เรียกว่า ’อะมิกดาลา’ (Amygdala) ซึ่งเป็น สมองชั้นกลาง ใกล้กับ ก้านสมอง และ มีความสามารถใน การเก็บข้อมูล ด้านอารมณ์จำนวนมาก ๆ ไว้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่า เราใส่ข้อมูลด้าน ”บวก”หรือ”ลบ” มากน้อยแค่ไหน ก็จะทำให้ สมองจดจำ และ ตอบสนองในทิศทางนั้น หากเราปล่อยให้ความอัตโนมัตินี้ ทำงานตามลำพัง โดยไม่ฝึก กำหนดรู้ ก็จะทำให้เรา ติดกับดักของอารมณ์ ที่ไม่ดี อยู่ตลอดเวลา สมองของเราจะทำงานอยู่แต่ใน เฉพาะช่วงคลื่นเบต้า ซึ่งในโหมดนี้ถือว่า เป็นโหมดปกป้อง มีทั้งเบต้าอ่อน และแก่ แก่หมายถึงความถี่สูง มีผลให้ความคิดถดถอยจากสภาวะปกติ และทำงานอยู่ในฐานความกลัว มีลักษณะต้านทาน ความเปลี่ยนแปลง บางคนจะหยุด และปิดการเรียนรู้ เพราะเกิดความเครียด สภาวะนี้สมองจะหลั่งฮอร์โมนด้านลบ ออกมามากเกินไป นำไปสู่ ปฏิกิริยาเคมีที่ทำร้ายส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเป็นลูกโซ่ต่อไปเรื่อยๆ เช่น อะดรีนาลีน คอร์ติซอล เป็นต้น
ผลการวิจัยพลังงานแห่งสมาธิกับคลื่นสมอง
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบการฝึกจิต คือ ทำสมาธิ เป็นการปรับคลื่นความถี่สมองซีกซ้ายและซีกขวาได้ดี ทำให้เกิดการรวมของจิตเกิดเป็นกระแส "พลังจิต" การรวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกันสงบนิ่ง เป็นสมาธิ อาการภาวะนี้เรียกว่า "ตื่นรู้" ทางจิตวิญญาณ เข้าสู่ "จิตใต้สำนึก" ง่ายเร็ว
นอกจากนี้สมองยังแบ่งการทำงานออกเป็นซีกซ้าย และซีกขวา และคลื่นสมองทั้งสองด้าน ยังมีการขึ้นลงเป็นอิสระต่อกัน ทำให้ความถี่ แตกต่างกัน แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ในระหว่างการฝึกจิตทำสมาธิ จะส่งผลต่อ การปรับความถี่ของสมองทั้งสองด้าน ให้ขึ้นลงเหมือนกัน กราฟของคลื่นสมอง ทั้งสองด้าน มีรูปร่างคล้ายตุ๊กตา เป็นลักษณะที่เรียกว่า Synchronization ซึ่งการเกิด Synchronization นี้ จะทำให้เกิดพลังจิตที่เพิ่มขึ้นในมนุษย์ เป็นภาวะพิเศษแห่งการตื่นรู้ของจิต (Awakened Mind) นักวิชาการ ทางการแพทย์ และผู้ศึกษาและพัฒนาจิตเพื่อ สุขภาพ กล่าวว่า “ เมื่อเราสามารถเข้าไปสู่ ’จิตใต้สำนึก’ หรือถึงระดับ ’จิตไร้สำนึก’ ได้บ่อยๆ โดยที่มี ‘จิตสำนึก’ กำกับอยู่ ก็จะ ’จำได้’ และสามารถลงไปสู่แหล่งข้อมูล มหาศาล ได้บ่อยมากขึ้นเร็วมากขึ้น ข้อมูลที่ได้จาก ’จิตใต้สำนึก’ และ ’จิตไร้สำนึก’ นั้น เป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ จะออกมาในลักษณะที่เรียกว่า ‘ญาณทัศนะ’ (Intuition) หรือ ‘ ปิ๊งแว๊บ ’ หรือ ‘ ยูเรก้า ’ ซึ่งเป็นชุดภาษาอีกแบบหนึ่ง ที่อาจจะไม่ใช่คำพูด แต่มีความพอเหมาะพอดีแบบที่คาดไม่ถึง “
จะเห็นว่า ในทางปฏิบัติ เรื่องสำคัญอันดับแรกที่จะทำให้เราปรับคลื่นสมองได้ คือ เราต้องรู้ตัวและฝึกการรับรู้อารมณ์ให้ได้ก่อน มีเทคนิค ที่สามารถนำมา ใช้ได้ตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา จากหนังสือชื่อ “บายพาสอารมณ์” ของ นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ได้ให้แนวคิดว่า ตลอดเวลาที่เราตื่นกันอยู่ ประมาณ 16 ชั่วโมงต่อวันนั้น เราเคยสนใจลมหายใจของเราหรือไม่ ง่ายๆ แค่ว่ารู้ตัวว่า เราหายใจเข้า รู้ตัวว่าเราหายใจออก ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางใหม่ ของปฏิกิริยาชีวเคมีในสมองแล้ว การฝึกรับรู้ ลมหายใจ นี้เป็น แบบฝึกหัดเริ่มต้นแบบง่ายๆ ในขณะที่การฝึกรับรู้อารมณ์จะยากกว่า แต่ถ้าเราฝึกตัวรู้เรื่อง ลมหายใจ ได้ก็เสมือน ได้พัฒนาช่องทางการรับรู้อื่นด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนา โยคะ ซี่กง จึงเน้นความสำคัญเรื่อง การฝึกลมหายใจเหมือนกัน
อาจได้บ้างไม่ได้บ้างในระยะแรก ๆ แต่ถ้าทำบ่อย ๆ จะเกิดความชำนาญขึ้นเอง โดย นพ.วิธาน ให้ข้อคิดว่า ทุกวันนี้ เราต่างมีเวลา สร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นมากมาย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสร้างเส้นทางใหม่ให้กับอารมณ์ของเราเอง และเทคนิคใน การเฝ้าดูอารมณ์ ของตนเองนี้ เปรียบเสมือนการ”ล้างพิษหรือดีท็อกซ์”ของจิตใจที่ดีมากวิธีหนึ่ง
ความเข้าใจกลไก การทำงานแห่งโลกภายในตนเอง มีส่วนอย่างมากในการช่วยให้มนุษย์สามารถพัฒนาจิตใจและคุณภาพภายใน และเป็นเรื่องที่ไม่ได้ แยกขาดจาก การดำเนินชีวิตของเราแต่อย่างใด เมื่อนำไปประกอบกับ วิชาความรู้ ที่เราศึกษาเพิ่มเติม จากโลกภายนอก จะทำให้ความรู้ของมนุษย์ เกิดความสมดุล สามารถระลึกรู้และใช้ปัญญากำกับได้ ดังนั้นไม่ว่าใคร จะมีบทบาทอยู่ใน หน้าที่ใดในสังคม ก็จะสามารถเลือกใช้วิชาการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มาประสานเชื่อมโยงกันอย่างชาญฉลาด ภายใต้ความเมตตา และจิตสำนึกต่อส่วนรวม
(อ้างอิงค์Resource : สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี)
ระดับคลื่นสมอง
“คลื่นสมอง” ก็คือการแกว่งขึ้นๆลงๆอย่างเป็นจังหวะของแรงดันไฟฟ้าอย่างหนึ่ง ระหว่างส่วนต่างๆของสมอง จนเป็นผลให้เกิดกระแสการไหลของไฟฟ้าขึ้น ซึ่งสภาวะของคลื่นสมอง หรือก็คือกิจกรรมทางไฟฟ้าที่เกิดขึ้นภายในช่วงความถี่หนึ่งๆ ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด
มีอยู่ 4 สภาวะด้วยกัน ได้แก่ คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta), อัลฟา (Alpha), ธีต้า (Theta), และ เดลต้า (Delta)
ซึ่งระดับความถี่ของคลื่นสมองของพวกคุณนี้เอง ที่เป็นตัวกำหนดระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณเอง และในทางกลับกัน ระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็จะนำพาไปสู่การมี ”อารมณ์” และ/หรือ “ความคิด” แบบใดแบบหนึ่งตามมาด้วย
คลื่นสมองทุกๆสภาวะ จะดำรงอยู่ในส่วนต่างๆของสมองของพวกคุณ ในปริมาณที่แตกต่างกันไป และระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็จะถูกกำหนดโดยคลื่นสมอง ที่กำลังเป็นใหญ่อยู่ในสมองของพวกคุณ ในขณะนั้นๆด้วย
1 คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta Brainwaves)
คลื่นสมองระดับเบต้า ปกติแล้วจะเกิดจากการจดจ่ออยู่กับโลกภายนอก และเกิดจากการจดจ่อในขณะที่ยังลืมตาอยู่เป็นหลัก คลื่นสมองชนิดนี้ จะบ่งบอกถึงความสามารถของพวกคุณ ในการจัดการกับความคิดทั้งหลายของตัวเองอย่างมีสติสัมปชัญญะ พวกคุณมักใช้เวลาส่วนใหญ่ในยามตื่นของตัวเองอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับเบต้านี้ ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่มีความถี่อยู่ระหว่าง 13 – 40 รอบต่อวินาที โดยเฉพาะคนที่มีความเครียดมาก อยู่ในภาวะเร่งรีบบีบคั้น ตื่นเต้น ตกใจ อารมณ์ไม่ดี โกรธ หรือดีใจมากๆ สมองจะมีการทำงานในช่วงคลื่นเบต้าอาจสูงได้ถึง 40 รอบต่อวินาที
ในสภาวะนี้พวกคุณจะจดจ่อความสนใจอยู่แต่กับเรื่องราวและตรรกะในชีวิตประจำวันของตัวเองซะเป็นส่วนใหญ่ พวกคุณจะใช้กิจกรรมของสมองซีกซ้ายซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกคุณจะยุ่งอยู่กับการประมวณผลข้อมูลข่าวสาร จำนวนมหาศาล ที่ถูกส่งเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของพวกคุณเองอยู่ตลอดเวลา
คลื่นสมองระดับเบต้านี้ จะทำให้พวกคุณสามารถจดจ่อความตระหนักรู้ของตัวเองไปบนร่างกายเนื้อของตัวเองได้ และไปบนภาระหน้าที่ๆกำลังทำอยู่นั้นได้ ในขณะที่หากไม่มีคลื่นเบต้าเกิดขึ้นเลย มนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ หรือทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ได้ในโลกภายนอก
2 คลื่นสมองระดับอัลฟา (Alpha Brainwaves)
คลื่นสมองระดับอัลฟา เป็นคลื่นสมองที่เกิดในสภาวะพักผ่อน หรือกำลังทำสมาธิ โดยจะเกิดจากการผสมผสานการจดจ่อระหว่าง การจดจ่ออยู่กับโลกภายในและกับโลกภายนอก ซึ่งในขณะนั้นๆ พวกคุณกำลังให้ความใส่ใจอยู่กับจินตนาการภายในของตัวเอง พอๆกับการให้ความใส่ใจกับสิ่งกระตุ้นจากภายนอกในเวลาทำอะไรเพลินๆ จนลืมสิ่งรอบๆตัว เวลาสบายใจ เวลาอ่านหนังสือ หรือจดจ่อกับกิจกรรมใดๆ อย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่ง และการเข้าสมาธิในระดับภวังค์ที่ไม่ลึกมาก
ในขณะที่พวกคุณผ่อนคลาย หรือ กำลังทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ คลื่นสมองของพวกคุณจะเปลี่ยนไปอยู่ในระดับอัลฟา ซึ่งมีความถี่อยู่ระหว่าง 7 – 13 รอบต่อวินาที
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองในระดับอัลฟานี้ จะเป็นจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ที่ผสมผสานระหว่างสิ่งกระตุ้นจากมิติที่ 3 และมิติที่ 4 ซึ่งจะทำให้ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 4 ของพวกคุณเอง ซึ่งก็คือ “กายทิพย์” (Astral Body) ของพวกคุณเอง สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของพวกคุณเองได้อย่างเป็นอิสระ
ในขณะที่พวกคุณกำลังอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้อยู่ พวกคุณจะสามารถ “คิดแบบใช้สมองทุกๆส่วน” (Whole Brain Thinking) ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ซึ่งการคิดแบบใช้สมองทุกๆส่วนที่ว่านี้ก็คือ
การมีความสมดุลระหว่างสมองซีกขวาและสมองซีกซ้าย ในการเขียน การเต้นรำ การปั้น การร้องรำทำเพลง หรือการทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ใดๆก็ตาม
ในสภาวะนี้ ตามปกติแล้ว ระดับความเข้มข้นของสารเอนดอร์ฟินส์ (endorphins) ในร่างกายของพวกคุณ ก็จะสูงกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้พวกคุณรู้สึก “เบิกบาน” ตามไปด้วย
3 คลื่นสมองระดับธีต้า (Theta Brainwaves)
คลื่นสมองระดับธีต้า จะเกิดขึ้นเมื่อพวกคุณหลับตาลง และจดจ่อความสนใจอยู่กับโลกภายในอย่างเข้มข้น คลื่นสมองระดับธีต้านี้ จะมีความถี่อยู่ระหว่าง 4 – 7 รอบต่อวินาที และจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ภายในที่เกิดจากการเข้าสมาธิ และการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ขั้นลึกที่สุด
และเพื่อที่จะรักษาจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้เอาไว้ให้ได้ พวกคุณจะต้องทำให้ร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่นิ่งๆเท่านั้น เพราะว่าในสภาวะนี้พวกคุณจะต้องจดจ่ออยู่แต่กับโลกภายในของตัวเองเท่านั้น ดังนั้น มันอาจจะเป็นการไม่ปลอดภัยหากจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหน ในโลกทางกายภาพในระหว่างที่กำลังอยู่ในสภาวะนี้
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองในระดับธีต้านี้ ปกติแล้วจะได้มาจากการเข้าสมาธิขั้นลึก และจะทำให้พวกคุณสามารถยังมีสติเต็มตื่นอยู่ได้ ในขณะที่กำลังท่องไปด้วยกายทิพย์ เพื่อเข้าไปสู่มิติที่ 4 ส่วนบน และเข้าไปสู่สะพานสายรุ้งที่เชื่อมต่อไปสู่มิติที่ 5 ด้วย
และด้วยการฝึกฝน พวกคุณก็จะสามารถจดจำการผจญภัยของตัวเองในช่วงระหว่างที่กำลังอยู่ในสมาธิได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับการผจญภัยเหล่านี้ มันก็จะหายไปทันทีเมื่อพวกคุณลืมตาขึ้น
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับธีต้านี้ ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การฝันแบบรู้ตัว” (Lucid Dreaming) และมีส่วนเกี่ยวข้องกับมโนภาพต่างๆ ที่พวกคุณจะได้ประสบในระหว่างที่พวกคุณ กำลังอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอีกด้วย (ทั้งช่วงเวลาก่อนหลับ และ ก่อนตื่น)
จิตวิญญาณของพวกคุณ หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ที่บัดนี้ได้ผสานรวมเข้ากับตัวตนของพวกคุณแล้วนั้น จะปิติยินดีกับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้มาก เพราะว่ามันจะทำให้พวกคุณสามารถเข้าไปใน “กระแสของความเป็นหนึ่งเดียวกัน” (the Flow of the One) ได้
ซึ่งภายในกระแสดังกล่าวนี้ พวกคุณจะสามารถติดต่อสื่อสารกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวเองได้ เพื่อทำให้ตัวเองมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจเพิ่มมากขึ้น อย่างมหาศาล
คลื่นสมองระดับธีต้านี้ จะไปกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่เคยถูกใช้งานของพวกคุณ และจะเชื่อมต่อพวกคุณให้เข้ากับ “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก” อีกด้วย
4 คลื่นสมองระดับเดลต้า (Delta Brainwaves)
คลื่นสมองระดับเดลต้า คือ ความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นของจิตเหนือสำนึกของพวกึคุณ(your superconscious empathy) ซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กับ และเชื่อมโยงพวกคุณเข้ากับ ตัวตนหลากมิติของพวกคุณเอง
คลื่นสมองระดับเดลต้านี้ จะมีความถี่อยู่ในช่วง 0.5 – 4 รอบต่อวินาที และจะเกี่ยวข้องกับการบำบัดรักษาโรคแบบปาฏิหาริย์, ความรู้อันศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบน, การเกิดใหม่, การหายจากความเจ็บปวดทางจิตใจ, การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล (สมาธิ), ประสบการณ์เฉียดตาย (near death experience) และอาการโคม่า
ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับเดลต้านี้ ปกติแล้วพวกคุณจะ “ไม่รับรู้” ความเป็นไปของโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพเลย
ในระหว่างที่อยู่ในสภาวะจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ดังกล่าวนี้ ปกติแล้ว จะปราศจากความฝัน และจะมีก็เพียงแต่ผู้ปฏิบัติสมาธิที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์สูงที่สุดเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าถึงจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้ได้
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่สามารถเข้าถึงสภาวะแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกับ “ความเป็นหนึ่งเดียว” (the ONE) ได้แล้ว มันก็จะไม่มีการลืมเกิดขึ้น เพราะว่ามันจะค่อยๆซึมซับเข้าไปในทุกๆพื้นที่ของชีวิตของพวกคุณ และ จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้ มันก็จะช่วยให้พวกคุณ ได้มาซึ่งสภาวะอันมั่นคงของความเป็นหนึ่งเดียวกัน กับตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณเอง ในท้ายที่สุด
และเมื่อใดที่ตาที่สามของพวกคุณถูกเปิดขึ้นแล้ว พวกคุณก็จะสามารถทำให้จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณเอง ถูกครอบงำด้วยคลื่นสมองระดับนี้ และสามารถรักษาไว้ซึ่งคลื่นสมองระดับนี้ ได้อย่างง่ายดาย
จิตวิญญาณของพวกคุณ หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ที่บัดนี้ได้ผสานรวมเข้ากับตัวตนของพวกคุณแล้วนั้น จะปิติยินดีกับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้มาก เพราะว่ามันจะช่วยให้จิตวิญญาณ/ตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง สามารถที่จะโฉบลงมาจิกเอาพวกคุณขึ้นไปได้ เพื่อพาพวกคุณท่องเที่ยวเข้าไป ใน “จิตวิญญาณต้นธาตุ” (Oversoul) ของพวกคุณเอง และท่องเที่ยวเข้าไป
ในโลกแห่งความเป็นจริงต่างๆที่มีอยู่จำนวนมากมายก่ายกอง ที่ตัวตนหลากมิติของพวกคุณเอง มี “รูปกาย” อยู่ เพื่อไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันหลากหลายมาได้
คลื่นสมองระดับเดลต้านี้ จะช่วยให้พวกคุณหลุดพ้นจากมายาการของโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 นี้ได้ และจะช่วยเชื่อมต่อพวกคุณให้เข้ากับ “จิตสำนึกระดับกาแลกซี่” (Galactic Consciousness) ได้
คลื่นสมองระดับแกมม่า (Gamma Brainwaves)
คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ จะสั่นสะเทือนอยู่ในช่วงความถี่ประมาณ 40 รอบต่อวินาที คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ เป็นคลื่นสมองที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ชนิดหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นคลื่นสมองที่ยากต่อการใช้เครื่องมือตรวจวัดค่ามันออกมาให้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่าคลื่นสมองระดับเบต้าซะอีก และมันก็ถูกเข้าใจว่ามันเป็น “ความถี่แห่งการประสานกลมกลืนกัน” (harmonizing frequency)
การสังเกตการณ์ดูวัตถุใดๆ เช่น ดูขนาด, ดูสี, ดูเนื้อสัมผัส, ดูหน้าที่ของมัน เป็นต้น จะถูกเก็บบันทึกเอาไว้, ถูกรับรู้ และถูกจัดการโดยส่วนต่างๆของสมองของพวกคุณ ที่แตกต่างกัน
คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ จะเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสมอง ในการสร้างภาพโฮโลแกรมขึ้นมา โดยการปะติดปะต่อเอาข้อมูลต่างๆ ที่ถูกเก็บเอาไว้ในส่วนต่างๆของสมองเข้าด้วยกัน เพื่อรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ให้กลายเป็นภาพรวมระดับสูงกว่าขึ้นไปอีก
จิตวิญญาณของพวกคุณ จะพึงพอใจกับคลื่นสมองระดับนี้เป็นอย่างมาก พอๆกับที่พึงพอใจ “คลื่นสมองใหม่” อื่นๆ เพราะว่าพวกมันจะทำให้พวกคุณสามารถนำเอาประสบการณ์ภายในทั้งหมดของตัวเอง มารวมเข้าด้วยกันได้ และจะทำให้พวกคุณสามารถจดจำพวกมันได้ ในชีวิตจริงทางโลกของพวกคุณด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้ คือสิ่งที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก ต่อการกราวด์มิติที่ 5 ให้เข้ากับดาวเคราะห์โลกของไกอา ที่อยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้
คลื่นสมองใหม่ (New Brainwaves)
นักวิจัยด้าน EEG ได้สังเกตเห็นว่ามันมีคลื่นสมองที่มีความถี่สูงมากๆแบบสุดขั้ว จนสูงกว่าคลื่นสมองระดับแกมม่าอยู่อีก คือราวๆ 100 รอบต่อวินาที ดังนั้น พวกเขาจึงตั้งชื่อให้มันว่า “คลื่นสมองระดับไฮเปอร์แกมม่า” (Hyper Gamma Brainwaves)
ส่วนคลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่านั้นไปอีก คือมีความถี่ราวๆ 200 รอบต่อวินาที พวกเขาตั้งชื่อให้มันว่า “คลื่นสมองระดับแลมบ์ด้า” (Lambda Brainwaves)
และในทางกลับกัน พวกเขาก็ยังค้นพบคลื่นสมองที่มีความถี่ต่ำมากๆแบบสุดขั้วอีกด้วย ซึ่งต่ำกว่าคลื่นสมองระดับเดลต้าซะอีก นั่นก็คือมีความถี่ต่ำกว่า 0.5 รอบต่อวินาที ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตั้งชื่อให้กับมันว่า “คลื่นสมองระดับเอปซิลอน” (Epsilon Brainwaves)
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับเอปซิลอนนี้ ถูกเข้าใจว่ามันคือสภาวะที่เหล่าโยคีทั้งหลายใช้เพื่อเข้าสู่นิโรธสมาบัติ (Suspended animation) ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในสภาวะนี้ เหล่าแพทย์ชาวตะวันตกจะไม่สามารถตรวจพบชีพจร, การเต้นของหัวใจ, และการหายใจ ของโยคีเหล่านี้ได้เลย
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับไฮเปอร์แกมม่า และ แลมบ์ด้านี้ เป็นสภาวะที่มีความเกี่ยวข้องกับ ความสามารถของพระทิเบตบางนิกาย ที่สามารถนั่งสมาธิบนภูเขาหิมาลัยที่มีอุณหภูมิติดลบได้ โดยสวมใส่เครื่องนุ่งห่มเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง และยังสามารถทำให้หิมะที่อยู่รอบๆตัวพวกเขาละลายได้ด้วย
คลื่นสมองระดับเอปซิลอน ที่มีความถี่ต่ำกว่า 0.5 รอบต่อวินาทีนี้ พวกคุณจะเห็นว่ามันซ่อนอยู่ภายในรูปแบบของคลื่นสมองระดับไฮเปอร์แกมม่า และแลมบ์ด้า ซึ่งมีความถี่ 100 – 200 รอบต่อวินาทีด้วย
และในทำนองเดียวกัน ถ้าพวกคุณสามารถถ่ายภาพเป็นมุมกว้างย้อนกลับไปได้ พวกคุณก็จะเห็นว่า คลื่นสมองระดับแลมบ์ด้า ซึ่งมีความถี่สูงแบบสุดขั้ว คือราวๆ 200 รอบต่อวินาทีนี้ ก็จะขี่อยู่บนยอดของคลื่นสมองระดับเอปซิลอน ซึ่งมีความถี่ต่ำแบบสุดขั้ว อยู่เช่นเดียวกัน
ในทำนองเดียวกัน ประสาทสัมผัสภายในของพวกคุณเอง ก็จะถูกตรึงเอาไว้กับประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ของพวกคุณ และจะต้องพึ่งพาอาศัยประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ของพวกคุณด้วย ดังนั้น พวกคุณจึงสามารถรับรู้โลกภายในได้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ในท้ายที่สุด ในขณะที่ยังคงอยู่ในรูปกายทางกายภาพของมิติที่ 3 นี้
มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพวกคุณ ที่จะต้องจดจำเอาไว้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่ในมิติสูงๆกว่าทั้งหลาย พวกมันยังคงมีอยู่เสมอ แต่ในชั่วขณะใดที่พวกคุณหลงลืมพวกมันไป พวกมันก็จะไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นไปได้ของพวกคุณอีกต่อไป
เพราะฉะนั้นแล้ว แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลกที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลาย จึงจะกลายเป็นเรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” ไป
ดังนั้น ยิ่งพวกคุณกล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” อันนั้น มากเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งสามารถ เข้าถึงการทำงานขั้นสูงกว่าของสมองตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยิ่งพวกคุณ “เปิดใจตัวเอง” มากขึ้นเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งทำให้ “สมองของตัวเองพัฒนา” มากขึ้นเท่านั้นด้วย
ในทางการแพทย์ใช้คลื่นสมองสำหรับการฟื้นฟูผู้ป่วย ด้วยระบบ AI เพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ในภาพสบายรู้สึกดี ผ่อนครายบำบัดรักษาโรค
สรุปภาวะของคลื่นสมองทั้ง 6 คลื่นพลังงาน
- คลื่นเบต้า (Beta Brainwaves) เป็นช่วงคลื่นสมองที่เร็วที่สุดเกิดขึ้นในขณะที่สมองอยู่ในภาวะของการทํางาน และควบคุมจิตใต้สํานึก (Conscious Mind)
- คลื่นอัลฟ่า (Alpha Brainwaves) เป็นคลื่นสมองที่ปรากฏบ่อย สภาวะที่จิตสมดุล อยู่ในสภาวะสบาย ๆ
- คลื่นเธต้า (Theta Brainwaves) เป็นช่วงคลื่นที่สมองทํางานช้าลงมาก มีความผ่อนคลายอย่างสูง
- คลื่นเดลต้า (Delta Brainwaves) เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด สภาวะนี้จะทําให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลายในระดับที่สูงมาก
- คลื่นแกมมา (Gamma Brainwaves) เป็นการทําหน้าที่ของกระบวนการคิด การรับรู้ การได้ยินเสียง การรับสัมผัส
- คลื่นมู (Mu Brainwaves) เป็นคลื่นไฟฟ้าที่มีความถี่เหมือนคลื่นแอลฟ่า แต่มีความแตกต่างกันคือ คลื่นแอลฟ่าจะถูกบล็อกโดยการลืมตา
ทำไมเราต้องรู้จักคลื่นสมองทั้ง 4 เพราะระดับคลื่นสมองส่งผลต่อชีวิต สุขภาพร่างการและจิตใจ จิตวิญญาณของเราเป็นอย่างมาก เราควรได้รู้จักไว้ หากอยากให้ชีวิตดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามา และหากใครมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต การนอนไม่รู้ มันจะช่วยให้เรานอนหลับลึก หลับดี การหลับดีนานย่อยมีคุณภาพชีวิต
คลื่นสมองของเราเกิดจากการแกว่งขึ้นลงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเคมีในสมอง แบ่งออกเป็น 4 ระดับตามการสั่นสะเทือนหรือความถี่ที่เกิดขึ้น
สรุปได้แก่
👉 1. คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta) ความถี่ 14 - 30 Hz เกิดในช่วงที่เราใช้สมองขบคิด ทำงาน หรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ระหว่างวัน
👉 2. คลื่นสมองระดับอัลฟา (Alpha) ความถี่ 8 - 13 Hz เกิดในช่วงที่เรารู้สึกผ่อนคลาย สงบ และมีสมาธิ
👉 3. คลื่นสมองระดับธีต้า (Theta) ความถี่ 4 - 7 Hz เกิดในช่วงที่เราเคลิ้มหลับ กึ่งหลับกึ่งตื่น เกิดขึ้นเมื่อสมองมีการผ่อนคลายระดับลึก (Deep Relaxation)
👉 4. คลื่นสมองระดับเดลต้า (Delta) เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่ต่ำสุด 0.1 - 3 Hz เกิดขึ้นในช่วงที่เราหลับลึก หลับสนิท แต่กระบวนการของจิตใต้สำนึกยังจัดเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
“คลื่นสมองทั้ง 4 ระดับ จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของร่างกาย แต่รู้มั้ยว่าเราสามารถปรับคลื่นสมองให้อยู่ในระดับที่เราต้องการได้ โดยมีหลากหลายวิธี อาธิ เช่น ฟังเพลง ฟังคลื่นความถี่เสียง นั่งสมาธิ สวดมนต์ การทำสมาธิด้วยวิธีต่างๆ เป็นการควบคุมคลื่นสมองทั้งหมด
ฉะนั้น มีผลการวิจัยคลื่นสมองก่อนและหลังนั่งสมาธิ สวดมนต์
ดังนั้นจิตที่ยังมีนิวรณ์ 5 อยู่เช่นนี้ย่อมจะไม่สามารถเป็นสมาธิได้
ต้องฝึกเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอจะสามารถกำจัดนิวรณ์ได้.
ซึ่งการทดลองนี้สอดคล้องกับมาตรฐานสัญญาณคลื่นสมองอัลฟ่าผ่อนคลายเมื่อหลับตาลงซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุดในระยะแรก
ฉะนั้นทำให้เรารู้ว่าการสวดมนต์ก่อนทำสมาธิจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจิตเราจะจดจ่อกับบทสวดมนต์อยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองอัลฟ่าเกิดขึ้นและคงอยู่ได้อย่างต่อเนื่องจนหลังการทดลองอีก 5 นาที. ซึ่งจะเป็นช่วงที่เข้าสู่การทำสมาธิได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อฝึกบ่อยๆ นิวรณ์5 ก็จะหมดไป
มาถึงตอนนี้ บทความนี้เป็นการร่วบรวมข้อมูลแหล่งความรู้หลายหลายแหล่งนำมาสรุปให้เพื่อนๆ ผู้อ่านที่สนใจเรียนรู้พลังงานภายในสมองและร่างการของเรา หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน
ขอขอบคุณที่มาของแหล่งข้อมูลและผลการวิจัยทั้งภายในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อนๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมจากข้อมูลที่อ้างอิงค์ได้คะ และนำไปทดลองปฏิบัติกันดูคะ
เอกสารอ้างอิง
1. นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์, บายพาสอารมณ์, กรุงเทพฯ, สำนักพิมพ์ศยาม, 2547
2. นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์, จิตตปัญญาศึกษากับคลื่นสมอง. [ออนไลน์] [อ้างถึงวันที่ 25 กันยายน 2549]
เข้าถึงได้จาก :http://ww.siamsewana.org/
3. ภาวะของคลื่นสมอง. [ออนไลน์] [อ้างถึงวันที่ 25 กันยายน 2549]เข้าถึงได้จาก :
http://www.websamba.com/mindbody
4. Brain Waves. [ออนไลน์] [อ้างถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2549] เข้าถึงได้จาก: http://web.lemoyne.edu/~
Hevern/psy340.09.02.stages.sleep.html
5. ThetaHealing Four Types of Brainwaves. [ออนไลน์] [อ้างถึงวันที่ 25 กันยายน 2549] เข้าถึงได้
จาก :http://www.thetahealing.ca/what/waves.html
6. The Work : The Awakened Mind [ออนไลน์] [อ้างถึงวันที่ 26 กันยายน 2549] เข้าถึงได้จาก :
http://www.annawise.com/the_work/the_work_content.html
7. Electroencephalography. [ออนไลน์] [อ้างถึงวันที่ 27 กันยายน 2549] เข้าถึงได้จาก :
http://en.wikipedia.org/wiki/Brain_wave
Resource : สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
8. https://www.novabizz.com/ โดยเว็ป พลังจิต ห้องแบ่งปันจาก NoOTa,
ติดตามช่องยูทูป พูดคุยเกี่ยวกับการลงทุน คลิปโตได้ตามลิงค์ด้านล่างคะ
ติดตามช่องด้านจิตวิทยาพัฒนาตัวเอง กฎแรงดึงดูด พลังจักรวาล ควอนตัม
https://www.youtube.com/@Ami.Amornrat.psychologistTV
ติดตามช่องการลงทุน หุ้น คลิปโต
https://www.youtube.com/@Ami.Writer.Invertor
ความคิดเห็น