พลังจิตภายในตัวมนุษย์ ขุมทรัพย์มหาศาล เปลี่ยนชีวิตรวดเร็ว I วิทยาศาสตร์กับชีวิตคนขับเคลื่อน โดย จิตใต้สำนึก (unconscious mind) 95%
ดร.บรูซ ลิปตัน (Dr.Bruce Lipton) ศาสตราจารย์ชีววิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านเซลล์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พูดถึงการทำงานของ จิตสำนึก (conscious mind) และ จิตใต้สำนึก (unconscious mind) โดยบอกว่า
“จิตสำนึก” คือ ส่วนที่คิดเพื่อสร้างไอเดียใหม่ออกมาจากกล่องเดิม แต่ “จิตใต้สำนึก” จะทำงานผ่านโปรแกรมที่ถูกกำหนดไว้ เหมือนซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยฐานข้อมูลพฤติกรรมที่เก็บไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกกำหนดไว้ก่อนอายุ 6 ขวบ
จิตใต้สำนึกควบคุม 95% ของกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ขณะที่จิตสำนึกควบคุมเพียง 5% เท่านั้น ซึ่งที่จริง 5% นั่นเป็นระดับของพวกคนที่ตื่นตัวในการใช้ชีวิต แต่คนส่วนใหญ่ทำงานด้วยจิตสำนึกเพียงแค่ 1% นี่คือเหตุผลที่ความคิด การตัดสินใจ อารมณ์ ความรู้สึก และการกระทำส่วนใหญ่ของชีวิตเราถูกตอบสนองตามโปรแกรมอัตโนมัติ (หรือที่เราเรียกว่า ตามสัญชาตญาณ)
ดร. ลิปตันยังกล่าวอีกว่า จิตใต้สำนึกประมวลผมข้อมูลด้วยความเร็ว 40 ล้านบิตต่อวินาที ในขณะที่จิตสำนึกประมวลผลที่ความเร็วเพียง 40 บิตต่อวินาที หมายความว่า จิตใต้สำนึกส่งผ่านข้อมูลเร็วกว่าจิตสำนึก 1 ล้านเท่า ดังนั้นจิตใต้สำนึกจึงมีพลังมากกว่าและเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตส่วนใหญ่ของเรา
การพยายามคิดแง่บวก คือ การพยายามเปลี่ยนที่จิตสำนึก ซึ่งมีพลังไม่เท่าการเปลี่ยนจิตใต้สำนึก การที่เราเปลี่ยนโปรแกรมจิตใต้สำนึกได้ เราก็เปลี่ยนสิ่งที่ทรงพลังต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิต ดร.ลิปตันได้แนะนำวิธีการโปรแกรมจิตใต้สำนึกใหม่ว่า ทำได้โดยการสงบใจและจดจ่อ
สำหรับคริสเตียน เรารู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่าน ช่วงเวลาการเฝ้าเดี่ยว การพักสงบ และนมัสการพระเจ้า เมื่อเราได้จดจ่อและพักสงบ เราก็เข้าสู่ช่วงเวลาชำระล้างจิตใจและจิตใต้สำนึกของเราใหม่ให้สะอาด เกิดกระบวนการจัดระบบระเบียบโปรแกรมอัตโนมัติที่อยู่ภายในใหม่ เราจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากภายใน จิตใจที่ดี ก็จะผลิตสิ่งที่ดีออกมา
ดร. บรูซ เอช ลิปตัน (Dr. Bruce H. Lipton) พูดเกี่ยวกับข้อค้นพบใหม่เกี่ยวกับร่างกายของคนเรา จิต การทำงานของจิต พลังของจิต และจิตบำบัด
สิ่งที่ดร.ได้พยายามพูดถึง ผ่านคลิปสรุปมาตามข้อมูลด้านล่างนะคะ เริ่มต้นจากการให้ข้อมูลว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังเชื่อหรือให้ความสำคัญกับเรื่องยีนหรือพันธุกรรม แต่ข้อค้นพบใหม่ให้ความสำคัญกับเซลล์ ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ถึง 50 ล้านล้านเซลล์ โดยมองว่าเซลล์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ (Living Entity) ดังนั้นตัวคุณจึงเป็นเสมือนชุมชน ๆ หนึ่ง (Community) ไม่ใช่ปัจเจกบุคคล
เซลล์แต่ละเซลล์มีประจุไฟฟ้าลบอยู่ภายใน และประจุบวกอยู่ภายนอก ในแง่นี้เซลล์จึงไม่ต่างจากแบตเตอรี่ โดยมีขนาดแรงดันไฟฟ้าประมาณ 1.4 โวลต์ ดังนั้น 50 ล้านล้านเซลล์คูณด้วย 1.4 โวลต์ เท่ากับ 700 ล้านล้านโวลต์ เคลื่อนไหลอยู่ภายในร่างกายของเราขณะนี้ พลังไฟฟ้าที่ว่านี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ชี่” ซึ่งเราสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการเยียวยารักษาร่างกายได้
นักฟิสิกส์สมัยใหม่ค้นพบว่าร่างกายของคนเราคือคลื่นพลังงาน (Energy waves) และมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา ที่เราเรียกว่า "ควอนตัม" โดยมันเคลื่อนไหวไปมามีทั้งสัตว์และพืชต่างก็สื่อสารกันผ่านกระแสคลื่น (Vibration) เช่นกัน กวางไม่จำเป็นต้องเดินไปหาสิงโตแล้วถามว่าเธอเป็นมิตรกับฉันหรือเปล่า เพราะว่ากวางสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสคลื่นทางลบที่สิงโตส่งออกมาแม้จากระยะไกล
ถ้าตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็ก ๆ ถูกสอนให้รู้จักและตระหนักถึงเรื่องนี้ เราจะไม่มีวันพาตัวเองไปสู่สัมพันธภาพหรือสถานที่แย่ๆ เลย แต่เรากลับถูกสอนให้ฟังเสียงของคนรอบข้างมากกว่าการฟังเสียงภายใน โดยหารู้ไม่ว่าภาษาถูกออกแบบมาเพื่อปิดบังความรู้สึก (Language was designed to hide feelings)
เราทุกคนเกิดมาพร้อมความสามารถที่จะรับรู้และได้ยินกระแสคลื่น (Vibration) และจะสามารถบอกตัวเองได้ว่าเรากำลังอยู่ใสถานที่ดี/ใช่/ถูกต้องหรือว่าตรงกันข้าม แต่เราไม่ได้ถูกสอนให้รู้จักใช้มันให้เป็น
เวลาเรามองไปยังผู้อื่น เราก็คิดว่าแต่ละคน คือ ปัจเจกบุคคล แต่ความจริง คือ เราต่างเป็นกระแสคลื่นพลังงานที่ปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลาต่างหาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมคน ๆ หนึ่งส่งผลสะเทือนต่ออีกคนได้ หรือที่เราเข้ามใจ กระแสคลื่นพลังงาน ก็เป็นเรื่องเดียวกันกับ "กฎแรงดึงดูด"
ในแวดวง "ฟิสิกส์ควอนตัม" ตอนนี้ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับอนุภาค (Particle) แล้ว แต่มาศึกษาเรื่องคลื่นพลังงาน โดยดูว่าคลื่นพลังงานส่งผลกระทบอย่างไร เราเรียกพื้นที่ที่คลื่นพลังงานมารวมตัวว่าสนามพลังงาน (Field) แม้ว่าคนเราจะเกิดมาจากอะตอม แต่เราก็เป็นสนามพลังงานด้วย เราเชื่อมต่อกับสรรพสิ่งอยู่ เราไม่สามารถแยกตัวออกจากกระแสคลื่นเหล่านั้นได้
ตรงนี้เองเชื่อมมายังเรื่องของความคิด มีเทคโนโลยีตัวหนึ่งเรียกว่า Magneto Encephalograph (MEG) (สมองแม่เหล็ก เรามีสมองเป็นแม่เหล็ก) ที่สามารถอ่านการทำงานของสมองได้แม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสกับตัวเราเลย ทำให้เห็นว่าความคิดเดินทางออกไปนอกสมองได้ สำหรับนักฟิสิกส์นี่ไม่ใช่เรื่องประหลาดมหัศจรรย์ เพราะการค้นพบที่ว่าคนเรานั้นคือคลื่นพลังงาน ซ้ำยังไปเกี่ยวเนื่องพัวพันกับคลื่นอื่น ๆ ตลอดเวลาด้วย
เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องประมาณว่าเราไม่ได้เจอเพื่อนเก่าบางคนนานหลายปี จู่ ๆ ก็นึกถึงขึ้นมา แล้วเราก็ได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนนั้น สถานการณ์แบบนี้มีความคล้ายกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า The Placebo Nocebo (Placebo effect คือปรากฏการณ์ยาหลอก คือ เมื่อเกิดความรู้สึกเชิงบวกต่อการรักษา ก็มีส่วนช่วยให้การรักษานั้นได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ส่วน Nocebo เป็นปรากฏการณ์ด้านลบ) เมื่อคุณคิดถึงใครสักคนอย่างจริงจัง คลื่นจะถูกส่งไปยังคนผู้นั้น
การทำงานของคลื่นพลังงานเป็นการทำงานสองทาง หมายความว่า หากคุณส่งกระแสคลื่นบวกออกไป คุณก็ได้รับกระแสบวกกลับมา ในทางกลับกันหากคุณส่งกระแสลบ ก็เตรียมตัวรับกระแสลบกลับมาได้เลย ดังนั้น พึงตระหนักวไว้ว่าความคิดของคุณไม่ได้ส่งผลต่อคุณเพียงลำพัง แต่ส่งผลต่อคนที่คุณกำลังคิดหรือพูดถึงด้วย
เวลาที่เราผลิตคลื่นพลังงาน เรากำลังสร้างสิ่งที่เรียกว่า Harmonic Resonance หรือ Constructive Interference ขณะที่เรากำลังส่งออกคลื่นความถี่ทางความคิด ใครล่ะที่จะตอบสนองต่อคลื่นนั้น ก็คนที่มีคลื่นความถี่ที่สอดคล้องกันนั่นเอง
หากคุณกำลังอยู่ในสภาวะความหวาดกลัว คุณไม่สามารถไปเชื่อมต่อกับจักรวาลหรือเทพพระเจ้าหรือสิ่งที่คุณนับถือตามศาสนาของคุณได้หรอก สภาวะเช่นนั้น กำลังดึงดูดตัวร้ายสักตัวเข้ามาในชีวิต เวลาที่ผู้ร้ายเลือกเหยื่อ เขาจะเลือกคนที่กลัวที่สุด คลื่นของความหวาดกลัวมันส่งออกมาให้สัมผัสได้นั่นเอง
หากคนที่มีความคิดคล้ายกันหรือเหมือนกันมารวมตัวกัน พลังจะยิ่งทวีมหาศาล ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่กรุงนิวยอร์ก หนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 คนในนิวยอร์กออกมารวมตัวกันระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าล็อตเตอรี่ออกเลขรางวัล 911 นี่เป็นผลจากพลังของกลุ่มคนมหาศาลบันดาลความคิดให้กลายเป็นความจริง
เมื่อเรามองกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง เราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตโดดเดี่ยวลำพัง เราคือชุมชนประชากรเซลล์ถึง 50 ล้านล้านเซลล์ แต่อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือคำว่า “ชุมชน”
เซลล์แต่ละเซลล์มีเชาว์ปัญญา แต่เมื่อมันมารวมตัวกันเป็นชุมชน เซลล์จะปล่อยวางเชาว์ปัญญาระดับปัจเจกนั้นลงไป และให้ความสำคัญกับเสียงส่วนกลาง (Central voice) เซลล์จะรับฟังและทำตามเสียงส่วนกลาง หากส่วนกลางบอกให้ไปตาย เซลล์ก็ต้องตาย เสียงส่วนกลางที่ว่านี้ก็คือ จิต (Mind)
จิตของเรามี 2 ส่วน มีธรรมชาติต่างกัน และเป็นเหตุผลว่าบางครั้งเราประสบปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมชีวิตของเรา จิตทำงานอย่างไร ดังนี้
อันดับแรกคือ มีสัญญาณจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีทั้งสิ่งแวดล้อมภายในและสิ่งแวดล้อมภายนอก สมองทำหน้าที่รับรู้สัญญาณนั้น อันดับที่ 2 เมื่อสมองรับสัญญาแล้ว เริ่มตีความ แล้วส่งต่อข้อมูลไปยังเซลล์ เพื่อทำการควบคุมพฤติกรรมและพันธุกรรม การทำหน้าที่รับรู้ของสมองนั้นเองที่เป็นตัวสร้างจิตขึ้นมา
ปรากฏการณ์ยาหลอกหรือ Placebo effect เมื่อคุณมีความคิดว่าบางสิ่งบางอย่างสามารถรักษาคุณได้ (ทั้งที่คุณไม่รู้จริงหรอกว่ามันเป็นยาจริง ๆ หรือเป็นแค่น้ำตาล) แต่คุณเชื่อว่ามันเป็นยารักษาคุณได้ คุณก็หายจากอาการป่วยได้จริง สิ่งที่รักษาคุณไม่ใช่ยา แต่เป็นความคิดต่างหาก ข้อมูลทางสถิติเองก็เผยว่า 1 ใน 3 ของการรักษาที่ได้ผล (รวมถึงการผ่าตัด) เป็นผลมาจาก Placebo effect
เมื่อมีผลจากความคิดเชิงบวก ก็มีผลจากความคิดเชิงลบ เรียกว่า Nocebo effect ความคิดเชิงบวกสามารถเยียวยาเราได้ฉันใด ความคิดเชิงลบก็สามารถฆ่าคุณได้ฉันนั้น ความคิดเชิงลบส่งผลกระทบทางเคมี หากหมอบอกคุณว่าคุณเป็นโรคสักโรคหนึ่ง หรือบอกว่าคุณกำลังจะเสียชีวิตเร็ว ๆ นี้ แล้วคุณก็เชื่อ เพราะว่าเขาเป็นหมอนี่นา ความเชื่อนั่นแหล่ะที่จะทำให้คุณป่วยและเสียชีวิต
ในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกามีกลุ่มศาสนาหนึ่งชื่อว่า The Baptist Fundamentalists คนกลุ่มนี้ทำพิธีกรรมบางอย่างจนเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า Ecstasy พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าปกป้องคุ้มครองพวกเขาอยู่ แล้วพวกเขาก็ไปทำงานอะไรสักอย่างเกี่ยวกับงูพิษ บางคนโดนงูพิษกัด แต่พวกเขาก็ไม่เป็นไร มีบางคนในกลุ่มที่กินยาเบื่อขั้นรุนแรง แต่เมื่อพวกเขาเข้าสู่สภาวะความเชื่อที่ว่า ยาเบื่อกลับไม่มีผลต่อพวกเขาเลย
ดังนั้นหากว่าคุณสามารถกินยาเบื่อได้ คุณจะมากังวลอะไรกับพวกสารพิษอื่น ๆ ในอาหารหรืออากาศหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่พวกเรากังวล เพราะเราเชื่อว่าสารพิษเหล่านั้นเป็นอันตรายกับเรา แต่แม้ว่าผม(ดร.บรูซ) จะรู้ข้อมูลพวกนี้ ผมก็ไม่กินยาเบื่อหรอกนะ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าความเชื่อของผมยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับความเชื่อของพวกเขา
ฉะนั้นหากเราเติบโตขึ้นมาและได้รับการปลูกฝังด้วยความเชื่อที่แข็งแรงกว่านี้ เราจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าที่เป็นอยู่ นี่เป็นคลิปแค่ 10 นาที ฟังแล้วก็อยากฟังคลิปเต็ม ๆ
บทสรุปวิทยาศาสตร์ กับชีวิตมนุษย์
วิทยาศาสตร์พิสูจน์ทดลองพบว่า ชีวิตมนุษย์ขับเคลื่อนด้วยจิตใต้สำนึก
ผลการวิจัยทดลอง สรุปตามแนวคิดของ ดร.บรูซ ลิปตัน (Dr.Bruce Lipton) ศาสตราจารย์ชีววิทยาผู้เชี่ยวชาญ
ด้านเซลล์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ให้หลักการกระบวนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ถึงการทำงานของ
จิตใต้สำนึก (unconscious mind) โดยบอกความหมายว่า
จิตใต้สำนึกควบคุมระบบปฏิบัติการอัตโนมัติของร่างกายทั้งหมด เช่น จังหวะการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต ระบบย่อยอาหาร การหลั่ง ฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกัน
การทำงานของหน่วยพันธุกรรม ฯลฯ และยัง เป็นตัวกำหนดโรคประจำตัวที่เกิดขึ้นในร่างกายของแต่ละคนด้วย
ในทางพุทธศาสนาบอกว่า ส่วนของจิตใต้สำนึกสะสมสัญญา เวทนา เก่าๆ ไว้หลายร้อยหลายพันภพชาติ
ดังนั้นจึงไม่สามารถประเมินพลังของ จิตใต้สำนึกได้เลยว่ามีมากมายเพียงใด ตามปกติแล้ว
ลำพังจิตใต้สำนึกไม่สามารถสั่งงานร่างกายได้โดยตรง แต่ในสภาวะหลับลึกซึ่งเป็นช่วงที่สมองหยุดพัก
และจิตสำนึกไม่ทำงานนั้น มีบางครั้งที่จิตใต้สำนึกสามารถสั่งงานมาที่กล้ามเนื้อโดยตรง และบังคับ
ให้แสดงพฤติกรรมตามที่มันต้องการ
การศึกษาพลังจิตภายในตัวของมนุษย์ในแง่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
พลังจิตแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบตามลักษณะการใช้งาน ดังต่อไปนี้
อนิมัล ไซ (Animal Psi) คือ ความสามารถในการพูดคุยกับสัตว์
แอนตี้ ไซ (Anti Psi) คือ สามารถรับการโจมตีโดยใช้พลังจิตป้องกัน
แอสตรัลโปรเจคชั่น (Astral Projection) คือ การถอดกายทิพย์
ไบโอ คอนโทรล (Biocontrol) คือ สามารถควบคุมการทำงานอวัยวะภายในร่างกายได้
เช่น ระบบการหมุนเวียนของเลือด รักษา บรรเทาอาการเจ็บปวด
แชนเนลลิ่ง (Channeling) คือ ติดต่อกับวิญญาณหรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิติที่ละเอียดกว่า
ไมนด์ชีลด์ (Mindshield) คือ ป้องกันการโจมตีจากพลังจิต
พรีคอคนิชั่น (Precognition) คือ ความสามารถหยั่งรู้อนาคต
ไซคิค ฮีลลิ่ง (Psychic Healing) คือ การรักษาด้วยพลังจิต
ไซคิค ฮิปโนซิส (Psychic Hypnosis) คือ การสะกดให้นอนหลับโดยใช้พลังจิตเข้าช่วย
ไซคิค อินวิซิบิลิตี้ (Psychic Invisibility) คือ การล่องหนหายตัวโดยใช้พลังจิต
ไซคิค แวมไพริซึ่ม (Psychic Vampirism) คือ ความสามารถในการดูดซับพลังชีวิตของคนอื่น
ไซโคเมทรี (Psychometry) คือ รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตโดยการจับต้องสิ่งของ
เช่น การค้นหาผู้สูญ หายโดยการจับรูปถ่ายหรือของใช้ของเขา
ไซโคพอร์เทชั่น (Psychoportation) คือ พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ/ตนเอง ไปยังจุดหมายที่ต้องการ
ซีเนอร์จี (Synergy) คือ ความสามารถในการผสมผสานพลังจิตเข้าด้วยกัน
เทเลพาธี (Telephathy) คือ การติดต่อผ่านทางจิต
เอ็มพาธี (Empathy) คือ รับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้
เลวิเตชั่น (Levitation) คือ การลอยตัวโดยใช้พลังจิต
ไซ-บอล (Psi-Ball) คือ การสร้างบอลพลังจิต เพื่อใช้ประโยชน์ตามที่ผู้ใช้ต้องการ
ไมนด์คอนโทรล (Mindcontrol) คือ ควบคุมจิตใจผู้อื่น การค้นคว้าของตระกูลคิเนซิส
เทเลคิเนซิส (Telekinesis) คือ การควบคุม/เคลื่อน วัตถุสิ่งของโดยใช้พลังแห่งจิต
ไพโรคิเนซิส (Pyrokinesis) คือ ควบคุมเปลวเพลิง สร้างไฟขึ้นมาได้
ครายโอคิเนซิส (Cryokinesis) คือ ควบคุมธาตุน้ำ ทำน้ำให้กลายเป็นน้ำแข็ง
แอโรคิเนซิส (Aerokinesis) คือ ควบคุมอากาศ สร้างสายลม
โครโนคิเนซิส (Cronokinesis) คือ ควบคุมกาลเวลา สามารถเดินทางไปยังอดีตหรืออนาคตได้
ฉะนั้น ในแง่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้ว ร่างกายของมนุษย์เรานั้น เป็นแหล่งผลิตพลังงาน
ที่ทรงประสิทธิภาพมากชนิดหนึ่ง
ดังนั้นจึงมีพลังในรูปแบบต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา แหล่งพลังงานหรือวัตถุดิบที่เรานำมาใช้
เพื่อผลิตพลังงานนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เราหยิบยืมแบ่งสรรมาจากธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเราทั้งสิ้น
เช่น นำมาจากดิน จากน้ำ จากอากาศ จากพืช สิ่งที่ได้มาก็คือแร่ธาตุต่างๆ ส่วนจากไฟ สิ่งที่ได้มา
คือพลังงานความร้อน สิ่งเหล่านี้เมื่อเข้ามาประชุมรวมกันในร่างกายของเรา โดยการกิน การดื่ม
การหายใจแล้ว กระบวนการในร่างกายของเราก็จะเปลี่ยนสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นโครงสร้าง
เป็นอวัยวะของร่างกาย และเป็นพลังงานเพื่อทำให้อวัยวะและโครงสร้างของเราเกิดการเคลื่อนไหว
เกิดการทำงานเพื่อทำให้ชีวิตเราดำรงอยู่ได้
พลังงานที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตพลังงานในร่างกายของเรานั้นมีอยู่หลายประการด้วยกัน
ที่สำคัญคือ พลังความร้อน พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงสว่าง
พลังเหล่านี้มันไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเรา แทรกซึมอยู่ทุกอวัยวะ แล้วทุกอวัยวะนั้นประกอบด้วยเซลล์
เซลล์ประกอบขึ้นจากสารประกอบ สารประกอบประกอบขึ้นจากโมเลกุล โมเลกุลประกอบขึ้นจากธาตุ
ธาตุประกอบขึ้นจากอะตอม อะตอมประกอบขึ้นจากอนุภาคที่เล็กกว่า คือ อิเลคตรอน โปรตอน และ นิวตรอน
พลังงานที่ร่างกายผลิตขึ้นมา มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ เพื่อให้อิเลคตรอนใช้เป็นพลังงานในการเคลื่อนไหว
ทั้งในการเคลื่อนไหวหมุนรอบนิวเคลียส ทั้งการเคลื่อนที่ไปสู่อะตอมอื่น การเคลื่อนไหวของอิเลคตรอน
ในร่างกายของเรามีความหมายอย่างยิ่ง เพราะมันหมายถึงชีวิตและสุขภาพของเราเลยทีเดียว
เนื่องจากการเคลื่อนไหวของอิเลคตรอนจะทำให้ อะตอม โมเลกุล เซลล์ อวัยวะ เกิดการเคลื่อนไหวทำงาน
มันคือการทำงานจากระดับเล็ก สู่ระดับใหญ่ หมุนเวียนส่งต่อกันไป
พลังความร้อน พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังแสงสว่าง ที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อให้อิเลคตรอนใช้เคลื่อนที่นั้น
จะเป็นพลังงานที่มีความเข้ม ความถี่ อยู่ในช่วงที่พอเหมาะแก่ร่างกายของเราช่วงหนึ่ง และในทางกลับกัน
การเคลื่อนไหวของอิเลคตรอนก็ทำให้ได้ พลังความร้อน พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังแสงสว่าง ออกมาเช่นกัน
ซึ่งร่างกายของคนที่สุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ อิเลคตรอนย่อมจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและความถี่ที่เหมาะสมค่าหนึ่ง
พลังที่ออกมาก็จะมีความเข้ม ความถี่ ที่ใกล้เคียงหรือเท่ากับที่ให้เข้าไป พลังที่มีความสำคัญมากคือ พลังแสงสว่าง
เพราะมันเป็นพลังที่เป็นต้นกำเนิดของพลังอื่นๆ และพลังเหล่านี้ที่เกิดขึ้นแล้ว มันสามารถเปลี่ยนรูปกันได้
กลับไปกลับมา เมื่อเราทานอาหาร นอกเหนือจากได้รับแร่ธาตุแล้ว เรายังได้รับพลังแสงเข้าไปอีกด้วย
โดยได้รับโดยทางอ้อม กล่าวคือ เราอาศัยพืชเก็บพลังงานแสงให้เรา โดยกระบวนการสังเคราะห์แสง (Photo synthesis)
จากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแสงสว่าง เก็บพลังงานแสงไว้ในรูปของสารอาหารที่พืชผลิตขึ้น
เพื่อรอให้กระบวนการย่อยอาหารของเราปลดปล่อยพลังงานแสงออกมาให้เราใช้งาน เพื่อเป็นพลังให้แก่อิเลคตรอนเคลื่อนที่
ร่างกายของคนที่สุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ อิเลคตรอนจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วและความถี่ที่จะทำให้ได้
พลังานแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นของแสงสีเหลือง
แสงสีเหลืองที่ออกมาจากเซลล์ ออกมาจากอวัยวะของเรานี้ อาจสามารถมองเห็นได้เมื่อเราสำรวมจิตใจให้สงบ หลับตาลง
ปิดเปลือกตาลงแล้วลืมตาขึ้นข้างในมองไปที่ผนังตา ยิ่งจิตเราสงบมากเท่าใด ก็จะเห็นชัดขึ้นเท่านั้น
แต่หากร่างกายหรืออวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของเราปล่อยพลังแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าออกมา
เช่น มืดดำ แดงเข้ม น้ำเงิน ม่วง แสดงว่าร่างกายหรืออวัยวะตรงนั้นทำงานผิดปกติ เพราะอิเลคตรอนบริเวณนั้นวิ่งช้าลง
หรืออาจได้รับคลื่นรังสีที่มีความถี่สูงเกินกว่าที่เซลล์จะรับได้และเป็นอันตรายต่อเซลล์เข้ามามาก
นั่นคือ เราเกิดความเจ็บป่วยขึ้น อาการของความเจ็บป่วยก็จำแนกออกเป็นโรคชนิดต่างๆ
เมื่อเราเจ็บป่วย ร่างกายของเราก็จะพยายามปรับสภาพให้อวัยวะที่ทำงานผิดปกติกลับคืนมา
สู่สภาพปกติเท่าที่ร่างกายเราจะทำได้ โดยพยายามนำพลังงานและแร่ธาตุที่มีอยู่มารักษาซ่อมแซม
แต่หากร่างกายเจ็บป่วยมากจนเกินความสามารถที่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้ ก็จะต้องรักษาด้วยการใช้ยา
หรือวิธีทางการแพทย์
นอกจากอาหารและยาแล้ว สิ่งที่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ แสงในช่วงคลื่นความถี่ที่เหมาะสม
คือแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นแสงสีเหลือง พลังแสงสีเหลืองนี้มีชื่อเรียกขานมานานว่า ปราณ หรือ ลมปราณ
ถือเป็นพลังชีวิตที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งโดยปกติจะเข้าสู่ร่างกายของเราโดยการ กินอาหาร ดื่มน้ำ
และการหายใจ ซึ่งนอกเหนือจาก การกิน ดื่ม และหายใจแล้ว การใช้พลังจิตดึงกระแสลมปราณเข้า
สู่ร่างกายก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถกระทำได้ เป็นการนำพลังเข้าสู่ร่างกายโดยตรงไม่ต้องผ่านตัวกลางอื่น
ดังจะพบได้ในศาสตร์ตะวันออกแขนงต่างๆที่มีมาแต่โบราณ สำหรับในยุคปัจจุบัน เนื่องจากสภาวะแวดล้อม
และชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยพลังงานเสียและปราณพิษ ไม่บริสุทธิ์เหมือนในอดีต ดังนั้นการใช้พลังจิตดึงพลังต่างๆ
เข้าสู่ร่างกายโดยตรง จึงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง (ปัจจุบัน พระอาจารย์ไม่แนะนำให้ใช้พลังจิตดึงพลังเข้าสู่ร่างกายโดยตรง
แต่มีวิธีการอื่นในการนำพลังต่างๆ เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านอุปกรณ์พีรามิด - ศึกษารายละเอียดได้จาก
องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ ในหนังสือทางรอด)
การที่แสงสว่างหรือปราณสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ ก็เพราะว่า พลังงานแสงนั้นนอกจากจะประพฤติตนเป็นคลื่นแล้ว
ยังสามารถประพฤติตนเป็นอนุภาคได้อีกด้วย โดยมีชื่อเรียกว่าอนุภาคโฟตอน (Photon) จัดเป็นกลุ่มอนุภาคเสมือน
ซึ่งต่างจากอนุภาคจริงตรงที่เป็นอนุภาคที่ไม่มีมวล แต่สามารถแสดงคุณสมบัติของอนุภาคจริงได้
คือการมีโมเมนตัม (Momemtum) คือสามารถถ่ายทอดพลังงานจากการชนได้ ปรากฎการณ์ที่แสงประพฤติตนเป็นได้ทั้งคลื่น
และอนุภาคนี้ เรียกว่าทวิภาคของคลื่นและอนุภาค การที่แสงสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ ก็เพราะ การประพฤติตนเป็นอนุภาค
เข้ามาชนกับอิเลคตรอนในอะตอมของเซลล์ในร่างกายให้มันเพิ่มพลังขึ้น
กระบวนการที่ทำให้อิเลคตรอนเคลื่อนที่เข้าสู่ระดับพลังงานหรือระดับวงโคจรที่สูงกว่าเดิม โดยใช้พลังงานแสงเป็นตัวเพิ่มพลังนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ปรากฏการณ์โฟโตอิเลคทริค" เป็นปรากฏการณ์ของแสงที่ประพฤติตนเป็นอนุภาค เมื่อเข้ามาชนอนุภาคอิเลคตรอนแล้วจะเกิดการถ่ายทอดพลังจากการกระทบให้แก่อิเลคตรอน เมื่ออิเลคตรอนได้รับพลังงานแล้วก็จะเคลื่อนที่เข้าสู่ระดับพลังงานที่สูงกว่าเดิม โดยระดับพลังงานที่เคลื่อนที่เข้าไปสู่นั้นจะแปรผันตรงกับความถี่ของแสงที่เข้ามาตกกระทบด้วย
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เคยรู้จักหรือใช้พลังจิตมาก่อน พลังจิตเป็นสิ่งลี้ลับที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากผู้ที่มีการฝึกจิต
(แบบที่มนุษย์ทั่วไปไม่มีทางทำได้)จนแก่กล้าแล้วเท่านั้น จึงใช้พลังจิตได้
พลังจิตนั้น แท้ที่จริงเป็นเรื่องธรรมดามากๆ คนธรรมดาทั่วไปทุกคน เกิดมาพร้อมศักยภาพในการใช้พลังจิตอยู่แล้ว
เหมือนกับที่คนปกติทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะสามารถขับรถหรือพูดภาษาอังกฤษได้นั่นแหล ซึ่งในทางกลับกัน
ถ้าเราไม่เคยพูดภาษาอังกฤษ มันก็พูดไม่ได้ หรือไม่ได้พูดนานๆสักสิบปี มันก็พูดไม่ได้
Banmen, J. (2002). The Satir model: Yesterday and today. Contemporary Family Therapy 24(1), 7-22.
Bodin, A. M. (1988, December). Virginia Satir: A memorium. Journal of Family Psychology, 117-118.
Freeman, M. L. (1999). Gender matters in the satir growth model. The American Journal of Family Therapy, 27(1), 345-363.
McLendon, J. A. (1999). The Satir system in action. In D. J. Wiener (Ed.), Beyond talk therapy:
ชอบอ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ << คลิก >>
ความคิดเห็น