สมาธิ DNA สู่มิติที่ 5 ผลวิจัยพบ สมาธิเปลี่ยน DNA ได้
สมาธิ DNA สู่มิติที่ 5
ผลวิจัยพบ สมาธิเปลี่ยน DNA ได้
นักวิจัยวิทยาศาสตร์-การแพทย์ ได้ยอมรับแล้วว่า “สมาธิสามารถเปลี่ยนยีน DNA ของคุณได้จริง
เราเคยได้ยินว่าการทำสมาธิภาวนาช่วยให้เกิดความนิ่งของจิตใจ จิตสงบ สุขใจ ไร้เครียด ผ่อนคลาย ความจำดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดในด้านจิตใจหรืออวัยวะของร่างกาย เราคงไม่เคยได้ยินว่า การทำสมาธิภาวนาสามารถเปลี่ยนแปลงยีนได้ วันนี้จะเล่าให้ฟังค่ะ
คณะนักวิจัยแห่งโรงพยาบาลชื่อดัง Massachusetts General Hospital (แมสซาชูเซตส์-เกนเนอเลอร์-ฮอลพิเทอร์ )ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา นำโดยคุณเฮอร์เบิร์ต เบนสัน (Herbert Benson) กล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่พบว่า “การทำสมาธิสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ถึงระดับยีน”
สิ่งที่คุณเฮอร์เบิร์ตทำคือการนำอาสาสมัครมาจำนวน 26 ท่าน ก่อนเริ่มทำการวิจัยก็จะมีการวิเคราะห์ gene profiles (ยีนโปรไฟล์) ของอาสาสมัครเหล่านี้ไว้เป็นบรรทัดฐาน อาสาสมัครเหล่านี้เป็นคนที่ไม่เคยทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นก็ทำการสอนอาสาสมัครเหล่านี้ให้ทำสมาธิให้เป็น ฝึกการผ่อนคลาย ซึ่งประกอบไปด้วย การฝึกการหายใจเข้า-ออก ท่องคำภาวนา และสอนการตัดความกังวลต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยให้ทำสมาธิทุกวัน วันละ 10-20 นาที
หลังจากทำสมาธิได้ 8 สัปดาห์ ก็นำอาสาสมัครเหล่านี้มาตรวจ gene profiles ซ้ำอีก สิ่งที่พบคือ กลุ่มยีนที่ก่อประโยชน์แข็งขันขึ้น ในขณะที่ยีนที่ก่อผลเสียต่อร่างกายลดความแข็งขันลง
กลุ่มยีนที่ก่อประโยชน์ที่แข็งขันขึ้นนั้น ส่งผลดีสามด้าน
ประการแรก เพิ่มประสิทธิภาพของไมโตคอนเดรีย (mitochondria) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์
ประการที่สอง เพิ่มประสิทธิภาพของการสร้างอินซูลิน ซึ่งช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ประการสุดท้าย ป้องกันการกร่อนสั้นของทีโลเมีย (telomeres) ซึ่งเป็นหมวกปลายยีน มีส่วนในการคง DNA ให้เสถียร และป้องกันการเสื่อมสลายและชราภาพของยีน
ในด้านกลุ่มยีนที่ก่อผลเสียต่อร่างกายที่ถูกลดทอนความแข็งขันลงจากการทำสมาธิ คือ ยีนกลุ่ม NF-kappa B (คัปปา) ซึ่งยีนนี้กระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง (chronic inflammation) ของเซลล์ เมื่อมีการอักเสบเรื้อรังผลที่ตามมาคือ การมีความดันโลหิตสูง การเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน การเป็นโรคทางเดินอาหารอักเสบ รวมไปถึงการเป็นมะเร็งบางชนิด
จะเห็นว่าผลของการทำสมาธิ เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ที่น่าทึ่งอีกอย่างคือ “ผลเหล่านี้เกิดหลังการทำสมาธิเพียงไม่กี่นาที!”
คุณจูลี่ เบรฟซินสกี้-เลวิส (Julie Brefczynski-Lewis) นักวิจัยผลของสมาธิต่อสรีรวิทยาของร่างกายแห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียตะวันตก (West Virginia University) เมืองมอร์แกนทาวน์ กล่าวว่า ผลของสมาธิเกิดขึ้นเร็วในเวลาเพียงแค่ 15-20 นาทีเท่านั้น และในทำนองตรงกันข้าม เวลามีความเครียดก็ส่งผลเร็วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการหลั่งฮอร์โมนความเครียด การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของอวัยวะต่างๆ ซึ่งตรงนี้ต้องระวังเพราะมันก็ส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวด้วย
คุณเฮอร์เบิร์ต เน้นว่า “ยิ่งท่านทำสมาธิมากเท่าไร ความเปลี่ยนแปลงดีๆ ที่เกิดกับยีนก็ยิ่งถาวรเท่านั้น”
ด้วยหลักฐานได้บ่งบอกว่าแล้วว่าการฝึกจิตหรือการกระตุ้นให้เกิดช่วงเวลาเฉพาะของจิตใต้สำนึกสามารถส่งผลประโยชน์ต่อสุขภาพ
โดยที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคว้าและทำความเข้าใจทางกายภาพแล้วว่าสามารถส่งผลกระทบต่อยีนในร่างกายของคุณได้จริง การศึกษาครั้งใหม่นี้เกิดขึ้นที่ Winconsin, (วิสคอนซิน) สเปนและฝรั่งเศษ จากหลักฐานปรากฎว่าเกิดการเปลี่ยนของโมเลกุลในพื้นที่ที่จำเพาะเจาะจงภายในร่างกายอันอยู่ในระหว่างการฝึกฝนการทำสมาธิอย่างจริงจัง
การค้นคว้าได้จับตามองถึงผลกระทบทางร่างกายในวันที่ทำการทดสอบการทำสมาธิในกลุ่งของนักปฏิบัติที่มีประสบการณ์โดยเปรี่ยบเทียบกับกลุ่มคนปฏิบัติที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
หลังจาก 8 ชั่วโมงของการวิจัยผ่านไปเค้าได้ค้นพบว่า การเรียงตัวของยีนและโมเลกุลในร่างกายของนักปฏิบัติสมาธิได้เปลี่ยนไปรวมไปถึงระดับของระบบการควบคุมยีน และระดับของความเสื่อมของยีนในร่างกายได้ลดลงเนื่องจากมีการรักษาตัวเองจากความเสื่อมได้อย่างรวดเร็ว
Richard J. Favidson (ริชาร์ด เจ. เดวิดสัน) , ผู้ก่อตั้งศูนย์สืบสวนสุขภาพจิตดี The center for investigating Healthy Minds และ William James (วิลเลียม เจมส์) และ Vilas (วิลล่า) ศาสดาจารย์ ด้านจิตวิทยาและจิตเวช มหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison (วิสคอนซิน-แมดิสัน) ได้ค้นพบข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงขอยีน ทั้งนี้ยังสามารถป้องกันความเสื่อมของยีนและยังทำงานเป็นยาระงับอาการปวดในร่างกายอีกด้วย
โดยได้รับการยืนยันจาก Perla Kaliman (เพิร์ล กาลิแมน) นักวิจัยของสถาบัน Biomedical Research of Barcelona (ฺBRB) ประเทศสเปน (IIBB-CSIC-IDIBAPS)และยังได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสา "วารสารจิตประสาทวิทยา" (The Journal Psychoneuronendocrinology) อีกด้วย
การฝึกปฏิบัติสมาธิขั้นพื้นฐานยังบ่งบอกถึงคุณประโยชน์ต่อความผิดปรกติของระบบการทำงานขอยีนในระหว่างการศึกษาในสถานพยาบาลและได้รับการรับรองจาก American Heart Association (แอสโซซิชั่น) ว่าสามารถเข้าไปป้องกันและแทรกแซงการเกิดความผิดปรกติของยีนนั้นได้จริง การค้นพบใหม่ครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อวงการของนักชีวะวิทยาเพื่อใช้ประโยชน์ในการบำบัดทางอายุรเวทต่อไป
Dr.Bruce Lipton (ดร.บรูซ ลิปตัน) ได้ยอมรับว่ายีนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกๆ วัน ถ้าจิตเข้าไปสะท้อนกับเคมีในร่างกายและถ้าระบบประสาทได้รับรู้ถึงสภาพแวดล้อมและมันจะควบคุมเคมีในเลือดและเราจะสามารถเปลี่ยนอนาคตของเซลในร่างกายได้อย่างแท้จริง
จากแค่การเปลี่ยน ”ความคิด” ซึ่งในความเป็นจริงแล้วงานวิจัยของ Dr.Lipton ได้แสดงให้เห็นว่า “ด้วยการเปลี่ยนความคิดต่อการรับรู้ จิตสามารถเปลี่ยนยีนและสร้างความสั่นสะเทือนมากกว่า 30,000ครั้งในยีนแต่ละตัว โดยเค้าได้ระบุว่าโปรแกรมของยีนจะอยู่ในจุดศูนย์กลางของเซล และเราสามารถโปรแกรมมันใหม่ได้ด้วยการเปลี่ยนเคมีในเลือดเท่านั้น”
ในทางที่ง่ายที่สุดคือ เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดถ้าเราต้องการบำบัดโรคร้ายอย่างมะเร็ง “ในทางปฏิบัติของจิตนั้น มันจะสร้างความเชื่องโยงระหว่างความเชื่อกับความจริงจากประสพการณ์ของเรา“ ดร.Lipton กล่าว “ นั่นหมายความว่าจิตของคุณจะปรับระบบชีววิทยาในร่างกายและปรับพฤติกรรมเพื่อให้เหมาะสมกับความเชื่อของคุณ ถ้าคุณบอกกับตัวเองว่าคุณจะตายใน 6 เดือนและจิตของคุณเชื่อแบบนั้น คุณก็มีแนวโน้มสูงที่จะตายใน 6 เดือนจริงๆ
นี่เรียกว่าโนเซโบเอฟเฟ็กต์ ( Nocebo effect ) ซึ่งเป็นผลพวงจากการคิดลบนั้นเอง การบำบัดทั้วไปจึงใช้แต่ความคิดที่เป็นบวกเท่านั้น
มันมีพลังต่อ 3 ส่วนในระบบคือ
1.ส่วนที่คุณบอกกับตัวเองว่า คุณไม่ต้องการจะตาย ( จิตสำนึก )
2.ผนวกกับส่วนที่คุณเชื่อว่าคุณจะตาย ( คำทำนายของหมอและสือสารโดยตรงกับจิตใต้สำนึก )
3.ซึ่งส่งผลต่อการตอบสนองทางเคมีในร่างกาย (สื่อโดยเคมีในสมอง) “ทั้งหมดนี้จะตอกย้ำจนกลายเป็นความเชื่อแบบถาวร”
( วิทยาศาสตร์ทางสมองได้เป็นที่เชื่อถือกันว่า จิตใจสำนึกควบคุม 95% ของชีวิตมนุษย์ทุกคน )
แล้วส่วนที่เราบอกว่าเราไม่อยากตายแหละ จิตของเราจะเป็นอย่างไร?
มันจะไม่กระทบต่อเคมีในร่างกายมากเท่าไหร่ ดร.Lipton ยังบอกอีกว่าต้องมาดูว่า จิตใต้สำนึกเป็นอย่างไร อะไรที่เก็บกักความเชื่อที่ฝังรากลึกเอาไว้ซึ่งมันได้ถูกโปรแกรมไปแล้วและความเชื่อนั้นหละที่จะถูกนำมาใช้เสมอๆ
การศึกษาของเดวิดสัน (Davidson) ได้พบว่า การทำสมาธิสามารถเชื่อมโยงกับเรื่องของการช่วยเหลือภาวะถดถอยของยีนที่ถูกทำลายได้เป็นอย่างดีรวมถึงยีนอย่าง RIPK2 , COX2 และ HDAC (Histone Deacetylase) genes, ซึ่งสมาธิจะไปช่วยลดการเกิดของเคมีได้ดี และยังลดความตึงเครียดทางสังคม การพูดคุยแบบกระทันหัน กิจกรรมที่ต้องการการคำนวนจากสมองต่อหน้าสาธารณะหรือต่อหน้าผู้ฟ้งหรือกล้องVDO
เป็นที่น่าแปลกใจที่นักวิจัยได้ค้นพบว่า ไม่มีความแตกต่างใดๆในเรื่องของยีนของคนที่มาทดสอบทั้งสองกลุ่มในครั้งแรกที่มา หลังจากนั้นเค้าให้คนกลุ่มหนึ่งทำสมาธิ และคนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ทำสมาธิ ต่อมาไม่นานกลุ่มคนที่ทำสมาธิได้มีความเปลี่ยนแปลงทางด้านยีนซึ่งแตกต่างจากกลุ่มคนที่ไม่ได้ทำสมาธิอย่างเห็นได้ชัดจนสามารถสรุปได้ว่า ผลลัพธ์ของการทำสมาธินั้นสามารถพิสูจได้ว่าส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงยีนและพันธุกรรมได้โดยตรง
การวิจัยได้ค้นพบอีกว่าการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมนั้นมาจากการกระตุ้นทางกายภาพไม่ว่าจะเป็นความเครียด อาหาร หรือการออกกำลังในระยะไม่กี่ชั่วโมง “ ยีนของเรามักจะเปลี่ยนแปลงไปตามการแสดงออกของตัวมันเองมันไม่คงที่ คำแนะนำคือ ความสงบของจิต....นั้นมีศักยภาพในการควบคุมการแสดงออกของยีนในตัวเรา กล่าวคือการทำสมาธิสามารถควบคุมยีนได้จริง “
Kaliman กล่าวว่า “ ปัจจัยพื้นฐานในการค้นคว้าในอนาคตนั่นคือ กลยุทธในการปฏิบัติสมาธิสำหรับการบำบัดโรคเรื้อรัง ซึ่ง ความเชื่อจิตใต้สำนึกคือกุญแจสำคัญในเรื่องนี้”
มีกลุ่มคนที่คิดบวกมากมายทราบกันดีว่าการคิดบวกนั้นเป็นสิ่งที่ดี Dr.Lipton ไม่ได้โต้แย้งในเรื่องนี้เนื่องจาก การคิดด้านบวกล้วนมาจากจิตใจ แต่ในขณะที่ความคิดด้านลบนั้นมักจะมาจากการโปรแกรมฝังในจิตใต้สำนึกอันทรงพลังมากกว่าความคิดระดับจิตใจมากมาย
ปัญหาหลักคือ ผู้คนมักจะระวังสภาพจิตใจ ความเชื่อและพฤติกรรม แต่กลับไม่ได้ระมัดระวังความเชื่อและพฤติกรรมระดับจิตใต้สำนึกของพวกเค้า คนทั่วไปไม่แม้แต่จะให้เกียรติจิตใต้สำนึกตนเองให้อยู่ในระดับที่มีความสุขอยู่เสมอ และความจริงอีกข้อหนึ่งคือ พลังจิตใต้สำนึกนั้นมีพลังมากกว่าพลังระดับจิตใจเป็นล้านๆเท่าและมันทำงานส่งผลมากถึง 95-99% ในชีวิตของเราจากการโปรแกรมในจิตใต้สำนึก
ความเชื่อระดับจิตใต้สำนึกของคุณทำงานเพื่อคุณทั้งในด้านส่งเสริมและต่อต้าน แต่ความจริงคือ “คุณไม่ได้ควบคุมชีวิตของคุณ นั่นเป็นเพราะ จิตใต้สำนึกจะเข้ามาแทนจิตใจของคุณเสมอๆ “ เมื่อคุณพยายามที่จะบำบัดตนเองในระดับจิตใจ จงยืนยันกับตัวเองในระดับจิตใต้สำนึกและบอกตัวเองว่าคุณเป็นคนที่มีสุขภาพดี มันอาจจะเป็นการโปรแกรมจิตใต้สำนึกที่มองไม่เห็นแต่มันส่งผลอย่างแน่นอน
พลังของจิตใต้สำนึกนั้นยิ่งใหญ่ มันทำให้คนมีหลายบุคลิกในขณะที่ถูกคลอบงำด้วยแง่คิด ( Mind set ) ของคนเพียงคนเดียว นักวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรมยุคใหม่มากมายได้ยืนยันแล้วว่า คนทุกๆคนบนโลกใบนี้ล้วนมีโอกาสที่จะเป็นใครก็ได้อย่างที่เค้าต้องการ สามารถเติมเต็มตนเองได้โดยพลังแห่งสมาธิและการดึงดูด มีศักยภาพในการบรรลุจุดสูงสุดของชีวิตเท่าที่ต้องการจนรวมไปถึงการบำบัดรักษาร่างกายและสุขภาพของตนเอง รักษาวัฒนธรรมของตนเองและมีชีวิตอยู่กันอย่างสันติสุขหมายเหตุ
นี่คือผลทางวิชาการ ที่ยืนยันถึงพลังของการทำสมาธิ แบบวิทยาศาสตร์ และสามารถเปลี่ยน DNA พฤติกรรม วิถีชีวิตมนุษย์ได้จริง
ดังเช่น สุภัช จันทรา ได้ใช้พลังสมาธิสร้างตนเองจากยาจกให้เป็น อัครมหาเศรษฐีระดับโลกได้ ศึกษาเรื่องราวได้เผยแพร่โดย Kuru Rin Po Chaeไมเคิล ฟอเรสเตอร์ (ผู้เขียน) จุฑาวุธ อธิจักราวุธ (ผู้แปล)
ชัดแล้ว นั่งสมาธิเปลี่ยนDNAได้
ยิ่งการปฏิบัติสมาธิผ่านการพิสูจน์ในเชิงวิทยาศาสตร์มากเพียงใด ยิ่งทำให้หลักคำสอนของพระพุทธศาสนามีความแจ่มชัดและโดดเด่นมากขึ้นเพียงนั้น
ทำสมาธิ ขณะนี้คณะนักวิจัยชุดนี้กำลังศึกษาต่อว่า การทำสมาธิเช่นนี้จะมีส่วนช่วยในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคลำไส้อักเสบ และมะเร็ง เปลี่ยนยีน
พลังจักรวาลนี้ ช่วยให้ร่ายกายของเรา สามารถเดินพลังที่บกพร่องหรืออุดตัน
จักร ทั้ง 7 นี้ทำหน้าที่ควบคุม จิต จิตใต้สำนึก อารมณ์ ปัญญา เป็นต้น
เมื่อ ฝึกในระดับที่สูงขึ้น จนขยายไปทุกส่วนของอวัยวะในร่างกายในทั่วร่าง
จากหลักการสั่นไหว มากับพลังจักรวาล มาอีกหลักหนึ่งคือ การหมุน
คนโบราณได้ค้นพบว่า รูปทรงต่าง ๆ บางรูปเปล่งหรือปล่อยพลังจักรวาลออกมาเอง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังจักรวาลเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก และเป็นทรงกลมที่หมุน
พลังจักรวาล หัวใจก็คือ จักระ แปลว่า วงล้อหรือธรรมจักร ที่เราได้ยินกัน
จักระนี้ มีอยู่ 7 จุดด้วยกัน
ตั้งอยู่ ที่ฝีเย็บระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิตแ
ละเป็นกลไกที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ ดูดซับพลังจากใจกลางโลกที่พุ่งขึ้นมา ได้แก่ น้ำพุร้อน
ภูเขาไฟระเบิด ต้นไม้ที่เจริญเติบโตจากดินพุ่งขึ้นสู่อากาศ
จักระที่ 2
ตั้งอยู่ ที่ปลายกระดูกก้นกบชิ้นสุดท้าย มี สัญลักษณ์เป็นดอกบัว 6 กลีบ ชื่อว่า
สวาธิษฐานะ จักระนี้แสดงถึงความต้องการที่แรงกล้า การสืบเผ่าพันธุ์
จักระที่ 3
อยูที่ กระดูกสันหลังระดับเอวที่ตรงข้ามกับสะดือ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 10 กลีบ
มีชื่อว่า มณีปุระ จักระนี้ แสดงออกถึงพลังอำนาจและความมีสติ
จักระที่ 4
อยู่ที่ กระดูกสันหลัง ระดับเดียวกับหัวใจ มีสัญลักษณ์ เป็นดอกบัว 11 กลีบ ชื่อว่า
อะนาหตะ จักระนี้แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือความรักความเมตตา
จักระที่ 5
ตั้งอยู่บน กระดูกสันหลังบริเวณต้นคอ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 16 กลีบ ชื่อว่า วิศทะ
จักระนี้แสดงถึงความรัก ความสมดุล ของสติปัญญา และความเห็นอกเห็นใจ
จักระที่ 6
อยู่ตรงกลางหน้าผาก เหนือหว่างคิ้ว มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 2 กลีบใหญ่
และกลีบย่อยอีก 100 กลีบ ชื่อว่า อะชะ จักระนี้แสดงถึงการพัฒนาจิตระดับที่สูง
ความมีสติ ความรู้แจ้ง จุดนี้ เปรียบเสมือนเป็นตาที่ 3 หรือตาทิพย์ ของมนุษย์
และเป็นจุดเดียวกับต่อมไพนิล
จักระที่ 7
อยู่จุดที่สูงที่สุดของศีรษะ สัญลักษณ์ดอกบัว 1,000 กลีบ ชื่อว่า สหสราระ
แสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัว และการหมดกิเลส จักระที่ 7 หรือ จักระ มงกุฎ
อยู่ส่วนบนของสมองเรียกว่า คาเวอร์เนียส เพลกซัส ณ ตำแหน่งนี้
ชื่อว่าทำให้เกิดปัญญาความรอบรู้
หน้าทำหลักของจุดนี้ ระบบประสาทศูนย์กลางบัญชาการใหญ่
ในการสั่งการของร่างกายทุกชนิด
เทคนิคการดูดซับพลังจักรวาล ทุกคนคงรู้จักปิรามิดเป็นอย่างดี บ้างก็รู้จักพลังปิรามิดอยู่บ้าง
ลักษณะของปิรามิดนี้ ยังมีพลังซ่อนเร้นอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณจะรู้วิธีนี้ด้วย
ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้าง ที่มหัศจรรยฺ์ที่สุดของโลก มีผู้ทดลอง เกี่ยวกับมันมามาก
ขอเข้าเรื่องเลยละกัน
พลังปิรามิด เป็นสถานที่เพิ่มพูดพลังจักรวาล ช่วยทำให้ ส่งเสริม พลังภายใน ซึ่งปิรามิด
นี้ มีหน้าที่เปรียบเสมือนเลนส์ รับเอาพลังจักรวาล ทั้งภายนอกโลก
และพลังแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกด้วย
เริ่มต้นด้วย มหาปิรามิดแห่งกีซา เป็นต้นแบบของการสร้างปิรามิดจำลอง ซึ่งนำมาใช้ ในการฝึก พลังจักรวาล มหาปิรามิด สูง 146.7 เมตร แต่ปัจจุบันเนื่องจากยอดหายไปจึงสูงแค่ 137.3 เมตร ความยาวของฐานปิระมิดคือ 230.5 เมตร จำนวนชั้นบันไดหินมี 201 ชั้น เดิม สร้างเสร็จใหม่ ๆ น่าจะมี 220 ชั้น มุมองศาคือ 51 องศา จำนวนก้อนหิน สร้างราว ๆ สองล้านเจ็ดแสนก้อน เฉลี่ยหนักก้อนละ 2.5 ตัน น้ำหนักทั้งหมดของปิระมิดราว ๆ เจ็ดล้านตัน
การรฝึกพลังจักรวาล
วิธีสร้างจิตตานุภาพ
กำหนดแสงสีม่วงเป็นท่อทะลุจากกระเบนหลังทวารถึงกลางศีรษะ
ทำความรู้สึกชัดๆๆๆทรงจิตให้นึกรู้ยิ่งบ่อยยิ่งดี
เป็นท่อแสงสว่างทะลุทั้งตัว
สีม่วง เป็นขาว เป็นทองสว่างจ้า
แล้วแผ่ไปทุกทิศสุดจะกำหนดได้
ส่งความปรารถนาดีไปกว้างๆ
แล้วกลับมาที่ตนเองรู้
เป็นแสงสีทองสว่างเต็มตัวเรา
ทำความรู้ตัวให้นานที่สุดจะนานได้ๆ
นิ่งๆ สบายๆ
เมื่อสุดรู้จะกำหนดแล้วให้แผ่เมตตา
ส่งความปรารถนาดีสดชื่นๆ
แก่ทุกชีวิต ฝึกบ่อยๆ
จิตจะมีอำนาจ ทุกข์กายใจเบา
บทความนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ทุกท่านนะคะ ไปทดลองฝึกดูกันคะ แต่หากท่านใดต้องการฝึกเจอะเชิงลึก ดิฉันมีคอร์สสอนออนไลน์ มีคลิปวีดีโอสอนฝึกจูนพลังจักรวาล สมาธิ DNA สู่มิติที่ 5 ผลวิจัยพบ สมาธิเปลี่ยน DNA สามารถอ่านรายละเอียดเนื้อหาคอร์สด้านล่าง
สำหรับท่านใดสนใจเป็นครูสอนจิตวิญญาณ สร้างรายได้จากอาชีพที่รัก อ่านรายละเอียดด้านล่างคะ
ความคิดเห็น