มิติแห่งจิตวิญญาณ กับ มิติแห่งพลังงาน


มิติแห่งจิตวิญญาณ กับ มิติแห่งพลังงาน


วิญญาณ กับ พลังงาน  คำถามที่ว่า วิญญาณเป็นสสารหรือพลังงาน หากพิจารณาตามคติทางพระพุทธศาสนาที่ถือว่า วิญญาณเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง วิญญาณก็น่าจะเป็นพลังงาน เพราะทางพระพุทธศาสนาเรียกวิญญาณ เป็นนาม หรือมีลักษณะเป็นนามธรรม ไม่ใช่เป็นรูปธรรม ดังจะเห็นได้จากการอธิบายลักษณะของจิตหรือวิญญาณว่า จิตไม่มีรูปร่าง (อสรีรํ) ความเป็นไปหรือการทำงานของจิตไม่ขึ้นอยู่กับเวลาและสถานที่ เช่น คนที่อยู่ ณ แห่งหนึ่ง อาจรู้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ อีกแห่งหนึ่งได้ด้วยจิต เป็นต้น


ประจักษ์หลักฐานที่แสดงว่าวิญญาณเป็นพลังงาน

ในปัจจุบันมีอุบัติการณ์หลายอย่าง ที่ส่อแสดงให้เห็นว่า จิต หรือวิญญาณมีอยู่จริง และมีอยู่ในฐานะเป็นพลังงาน ดังอุทาหรณ์ต่อไปนี้

ในปี ค.ศ. 1967 นิตยสาร Life รายงานข่าวและลงภาพของบุคคลคนหนึ่งชื่อ เตด ซาริโอส (Ted Sarios) ชายคนนี้สามารถถ่ายรูปด้วยความคิดได้ โดยเอาฟิล์มใหม่ ๆ ใส่เข้าไปในกล้องถ่ายรูป เอากล้องตั้งไว้ข้างหน้า แล้วนั่งหรือยืนเพ่งให้ภาพ (ตามที่เขาคิด)ไปติดที่ฟิล์มภายในกล้องถ่ายรูปนั้น

ในขณะที่เพ่ง เขาจะพยายามออกกำลังใจอย่างสุดขีด จนกระทั่งเหงื่อไหลดโทรมกาย เมื่อเขาเพ่งเสร็จ และบอกว่าสำเร็จแล้ว ก็ได้นำฟิล์มนั้นออกไปล้างดู ผลปรากฏว่าได้เกิดมีภาพที่เจาคิดและเพ่งบนฟิล์มนั้นจริง ๆ

ผลการกระทำของเขาได้ก่อให้เกิดความตื่นเต้นไม่น้อยในหมู่นักวิทยาศาสตร์ บางคนไม่เชื่อ เกรงว่าเขาจะเอาฟิล์มที่ถ่ายแล้วเข้าไปไว้ในกล้อง อุตส่าห์นำฟิล์มใหม่และกล้องของตนเองไปให้เขาเพ่ง และบอกให้เพ่งรูปแปลก ๆ เช่น ภาพทหารในคราวสงครามกลางเมืองอเมริกา เป็นต้น ผลปรากฏว่าได้ภาพตามที่เขาเพ่งทุกประการ แม้ว่าจะเป็นภาพที่ไม่ค่อยชัดเจนนักก็ตาม

แต่ข้อเสียก็มีอยู่ว่า เขาไม่สามารถจะทดลองได้ทุกครั้งที่ต้องการ เพราะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม อารมณ์ และสมาธิจิตด้วย การกระทำของเขาทำให้เกิดมีศัพท์ใหม่ขึ้นในวงการถ่ายรูปคือ Thoughtography (การถ่ายรูปด้วยความคิด)

จากตัวอย่างนี้ เราจะเห็นได้ว่า จิต หรือวิญญาณ มีลักษณะเป็นพลังงานละเอียดคล้ายรังสีเอ็กซ์ หรือรังสีแกมมา เพราะสามารถปล่อยจากจุดหนึ่ง (ในกรณีของ Ted Sarios คือสมอง) ผ่านเล็นซ์ของกล้องถ่ายรูปเข้าไปทำปฏิกิริยากับเคมีที่ฟิล์มถ่ายรูปได้ เช่นเดียวกับแสงตามปกติ34

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าเรื่องโทรจิต ในกรณีนี้มีผู้สงสัยว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์สหรัฐและรัฐเซียต้องมีการศึกษาค้นคว้าเรื่องโทรจิตด้วย ?

นักปรจิตวิทยาตอบว่า ในยุคปัจจุบัน มนุษย์ย่างเข้าสู่ยุคอวกาศ การเดินทางออกจากโลกไปสู่ดาวเคราะห์ต่าง ๆ เป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องความฝันเหมือนสมัยก่อน ดังนั้น ถ้าหากนักวิทยาศาสตร์สามารถส่งโทรจิตติดต่อกับมนุษย์อวกาศที่เดินทางออกจากโลกไปสู่ดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลได้สำเร็จ จะเป็นประโยชน์มาก เพราะระบบสื่อสารด้วยวิทยุและโทรทัศน์มีรัศมีส่งคลื่นได้จำกัด ยิ่งไกลออกไปเท่าไหร่เคลื่อนก็ยิ่งจางหาย การรับส่งสัญญาณไม่ชัดเจน

นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า คลื่นสมองสามารถเดินทางไปในอวกาศได้รวดเร็วและได้ไกลไม่จำกัดระยะทาง ไม่ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ อวกาศและกาล ที่ใช้กันอยู่ในโลก คลื่นจิตสามรถรับส่งได้เร็วกว่าความเร็วของแสง

นักวิทยาศาสตร์ทางปรจิตวิทยาสหรัฐ เชื่อว่า มีพลังคลื่นลึกลับจากภายนอกโลกที่มีความถี่สูงส่งมาจากดาวต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกล มายังโลกของเราตลอดเวลา เป็นคลื่นพิเศษที่ส่งมาติดต่อกับบุคคลผู้มีญาณวิเศษ อันได้แก่ผู้มีความสามารถทางโทรจิตทางตาทิพย์ หูทิพย์ สามารถรับส่งติดต่อกับพลังคลื่นที่มาจากภายนอกโลกได้ 35

จากเรื่องโทรจิต แสดงให้เห็นว่า จิตหรือวิญญาณ มีลักษณะเป็นพลังงาน สามารถส่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่จำกัด เพราะหากเป็นสสารแล้วจะต้องกินที่ มีขอบเขตที่จำกัด

พลังเมตตาของพลังทางจิตวิญญาณ


ในขณะที่พูดคุยเกี่ยวกับบทบาทที่เล่น โดยครู, โทโชอากกซุยกล่าวว่า กูรูเป็นเหมือนหม้อแปลงที่ "นำลงพลังงานทางจิตวิญญาณสูงไปยังระดับที่สามารถจัดการร่างกายของคุณลึกซึ้ง". ดังนั้น, พลังงานทางจิตวิญญาณนี้คืออะไร?

พลังทางจิตวิญญาณได้มักจะถูกเรียกว่าพลังงาน Chi หรือฉีซึ่งเป็นพลังชีวิตที่แทรกซึม และให้ความทุกพื้น. เทคนิคต่าง ๆ ผลิตมาช่องทางนี้ พลังงาน และใช้สำหรับการรักษา. พลังทางจิตวิญญาณดังนั้นดีที่สุดถือเป็นพลังที่ถูกผูกไว้ โดยขังใด ๆ

แกรนด์มาสเตอร์โชอากก Sui ระบุต้อง intrinsic พลังทางจิตวิญญาณสำหรับการขยายตัวของจิตสำนึก. พลังทางจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถเดินทางไปในภายในอาณาจักรของโลกจิตวิญญาณ. ความสำเร็จของความเงียบสงบและรับรู้ไม่เพียงพอการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณของเชื้อเพลิง. ไม่ มีพลังทางจิตวิญญาณ, สติไม่สามารถเติบโต และขยายตัวเป็นเครื่อง.

Shaktipat เป็นคำสันสกฤตที่เป็นพื้นผันเงื่อนไขสอง, "แรมชัคตี้", หมายถึง อำนาจ หรือพลังงาน และ "ตบเบาๆ", หมายถึง การตก หรือเดินลง. Shaktipat ดังนั้นจึงเป็นการ "พิงของพลังงานทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่" จากกูรูหรือครูกับนักเรียน. ทำให้จิตสำนึกของศิษย์เพื่อให้สามารถเคลื่อนที่ผ่านในระดับต่าง ๆ ของโลกภายใน. กระบวนการของการถ่ายโอนพลังงานจะเรียกว่าจิตวิญญาณเริ่มต้นในหนังสือลึกลับต่าง ๆ ที่มีอยู่ในวันนี้.

อธิบายพลังอันยิ่งใหญ่ของพลังทางจิตวิญญาณและกระบวนการของมันถูกเปลี่ยน และโอนย้าย, แกรนด์มาสเตอร์โชอากกซุยใช้เปรียบเทียบน่าสนใจมาก:-

"คุณมีปลั๊ก 110 โวลต์. ถ้าคุณใส่อุปกรณ์ของคุณโดยตรงเข้ากับเต้าเสียบโอน, มันจะทำลาย. ถ้าคุณเข้ากับแหล่งจ่ายไฟโดยตรง, มันได้ทำลายจริง ๆ. ดังนั้น แหล่งพลังงาน มันจะก้าวลง, ก้าวลง, ก้าวลงจนกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านของคุณสามารถจัดการกับมัน. สิ่งเดียวกัน; มีกระบวนการก้าวลง. หนึ่งในฟังก์ชันของครูคือการก้าวลงพลังงานเพื่อให้จิตวิญญาณสูงขึ้นและจิตวิญญาณ incarnated สามารถจัดการกับมัน".  

อะไรโทโชอากก Sui อธิบายในแง่ดังกล่าวง่าย คือหลักฐานวิธีตื่นตาตื่นใจครูที่จะสามารถที่จะเกี่ยวข้องกับนักศึกษาเช่นแนวคิดที่ยากได้ง่ายเช่น.

จักรวาลทั้งหมดเป็นเว็บของพลังงาน และพลังงานนี้จะเล็ดลอดออกมาตลอดเวลา, ผ่านทุกสิ่ง. เมื่อเราเรียกใช้ หรือนั่งสมาธิ, เป็นเชื้อสายของพระเจ้าพลังงานในสิ่งมีชีวิตของเรา. อย่างไรก็ตาม, เพื่อให้สามารถจัดการกับขนาดใหญ่ปริมาณของพลังงานทางจิตวิญญาณ, หนึ่งต้องพัฒนาร่างกายของตน. การพัฒนาของจิตวิญญาณของเรา หรือ ร่างกาย เป็นไปไม่ได้ โดยไม่มีการพัฒนารูปแบบทางกายภาพของเราจับต้องได้. ปฏิบัติจิตทั้งหมดมีเป้าหมายที่ได้รับความชำนาญพลังงานทางจิตวิญญาณซึ่งจะเปิดใช้งานการแปลงพลังงานนี้ และใช้ประโยชน์จากศักยภาพใหญ่ได้แล้ว.

สมาธิสายพลังงาน *เรกิ* ศาสตร์ฝั่งตะวันออก

เรามารู้จักสายพลังงาน เรกิกันคะ การฝึกพลังงานสายนี้กำลังมาแรง หากเปรียบเทียบกับสมาธิสายพุธหากดูให้ลึกก็ไม่ต่างกัน แต่หลักการสอนมุ่งเน้นรับรู้พลังงานเป็นหลัก

สำหรับใครที่อยู่ในสายพลังงาน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรกิ ถือเป็นพลังงานที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป อเมริกา ถึงกับนำเรกิเข้าไปไว้ในบำบัดร่วมกับการแพทย์ ซึ่งรวมประกันสังคมของโรงพยาบาลเลย


(บทความจาก Washingtonpost : Reiki goes mainstream: Spiritual touch practice now commonplace in hospitals)

 แต่อย่างที่หลายท่านทราบดี ถึงแม้ว่าเรกิจะโด่งดังและแพร่หลายมากในฝั่งตะวันออกและตะวันตกถูกนำมาพูดถึงและสอนกันแพร่หลาย ณ ตอนนี้ 

แต่ว่าแท้จริงแล้วต้นกำเนิดของเรกิ มาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถูกค้นพบโดยอาจารย์ มิคาโอะ อูซุย  ซึ่งแน่นอนว่าเดิมก่อนที่เรกิ จะถูกนำเข้าไปเผยแพร่ ทางฝั่งตะวันตกก็ย่อมมีสายพลังงานเดิมของฝั่งตะวันตกกันอยู่ใช่ไหมคะ อย่างเช่น พวก Witchcraft, Shaman, Wizard, Magician, หรือแม้แต่กระทั่งศาสนา Chris ก็ตาม

                    ที่มารูปภาพผู้ค้นพบเรกิ : มิคาโอะ อูซุย (Mikao Usui) จาก วิกิพีเดีย

ทีนี้การที่คนที่ฝึกพลังงานเดิมจะยอมรับพลังงานใหม่หรือแม้กระทั่งความรู้ ศาสตร์ต่าง ๆ อะไรก็ตาม ก็ต้องเป็นอะไรที่ว้าววมาก ๆ หน่อย อย่างน้อยคนก็ต้องเห็นว่ามันดีกว่าของเดิม เห็นผลมากกว่าของที่มีอยู่ ถึงจะยอมรับ ยอมเปลี่ยนกันได้ถูกไหมคะ โดยเพราะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นพลังงานมาจากชาติตะวันออก จากแถบเอซีย จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอยู่อีกซีกโลกหนึ่งเลย ดังนั้นถ้าคนตะวันตกจะยอมรับได้ ก็แสดงว่ามันต้องสามารถใช้ได้จริง เห็นผลลัพธ์ และน่าเชื่อถือถูกไหมคะ

ซึ่งตามประวัติ เรกิ ถูกนำเข้าไปโดยลูกศิษย์ของลูกศิษย์ของอาจารย์ อูซุย อีกทีนึง โดยหลังจากที่ได้มีการปรับหลักสูตรและการใช้พลังงานเพื่อการฮีลลิ่งแล้ว ดังนั้นวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของเรกิ ถูกนำไปใช้เพื่อการพัฒนาจิต ไม่ได้ถูกนำไปใช้เพื่อการบำบัดหรือฮีลลิ่งอยู่แล้ว

แต่เมื่อลูกศิษย์ของอาจารย์อูซุย เห็นผลว่านอกจากการพัฒนาจิตแล้ว ก็ยังส่งผลต่อสุขภาพและการบำบัดได้ด้วย จึงพยายามนำเรกิไปใช้ในคลีนิค (ลูกศิษย์ของอาจารย์อูซุยเป็นหมอ) และเมื่อพบว่ามันใช้ได้ผลดี ก็เริ่มมีการใช้มือเข้ามาร่วมในการส่งพลังงานด้วย จนมีการพัฒนาไป และเริ่มมีการเผยแพร่ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปสู่การแพร่หลายไปสู่ดินแดนตะวันตกนั่นเองค่ะ จะสังเกตว่าพอพูดถึงเรกิ หรือแม้แต่ค้นหาข้อมูลของเรกิก็ตาม จะพบว่าการรับรู้ส่วนใหญ่เน้นการส่งพลังด้วยมือเป็นหลัก

แต่ก็มีอีกหลายประวัติ ที่มาจากหลายแหล่งที่มา บ้างก็กล่าวว่า อาจารย์ อูซุย ไปเรียนที่ประเทศอเมริกา และไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่โน่น หรือบ้างก็กล่าวว่า อาจารย์อูซุยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่โตเกียว แล้วเดินทางไปเผยแพร่เรกิที่อเมริกา ซึ่งแต่ละเรื่องกราวก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเมื่อสมัยที่เรกิเริ่มเข้าไปฝั่งตะวันตก เกือบร้อยปีที่แล้วที่ข้อมูลยังไม่สามารถค้นหาได้ง่ายอย่างปัจจุบัน หรือการเดินทางก็ไม่ได้สะดวกอย่างเช่นทุกวัน

ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีสตอรี่หรือเรื่องราวที่จะทำให้คนในแถบนั้นยอมรับได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจุบันมีอาจารย์เรกิหลายท่านได้มีการค้นหาและอ้างอิงข้อมูลจริงจากประวัติศาสตร์ ตามสถานที่จริง ตามประวัติจริง ๆ แล้ว ก็น่าจะอ้างอิงตามความเป็นจริงจะดีกว่าค่ะ

โดยสรุปแล้ว เมื่อเรกิเข้าไปเผยแพร่ในฝั่งตะวันตก ก็เริ่มมีการนำเรกิ ไปผสมผสาน ประยุกต์กันกับศาสตร์เดิม พลังงานเดิมที่มีอยู่ ของท้องถิ่นนั้น จนเรกิ กลายเป็นชื่อสามัญของพลังงาน ที่เมื่อเติมเข้าไปก็กลายเป็นวิชาพลังงานใหม่ขึ้นมา เช่น Holy Fire Reiki, Tera Mai Reiki, Lightarian Reiki, Reiki Grand Master, Crystal Reiki, Sun Reiki และอื่น ๆ อีกมากกว่าร้อยพลังงาน

เหตุผลที่สำคัญอีกอย่างที่ทำให้เรกิ เป็นที่ยอมรับในประเทศแถบตะวันตกได้ก็คือ พลังเรกิ นั้นมีความพิเศษ เพราะเป็นพลังงานพื้นฐานที่สามารถใช้งานได้ง่ายที่สุด และมีข้อดีเป็นพิเศษคือ พลังงานมันสามารถพัฒนาไปตามความสามารถของเราได้เรื่อย ๆ คือยิ่งเราพัฒนาไปมากเท่าไหร่ พลังงานนี้ก็จะยิ่งมีความแปลกประหลาด อัศจรรย์ตามที่เราพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ เช่น มีความละเอียดขึ้น เป็นแสงสว่าง มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งคนที่เรียนเรกิจากขั้นที่ 1 มาจนถึงขั้นมาสเตอร์ เห็นการเปลี่ยนแปลงพลังงานเรกิของตัวเองได้อย่างชัดเจนกันทั้งนั้น

“ดังนั้นเรกิ จึงถือเป็นวิชาที่จำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อใช้วิชาอื่น ๆ ได้ เนื่องจากเป็นพื้นฐานเรื่องต่าง ๆ ของพลังงาน รวมถึงวิธีการใช้งานในแบบต่าง ๆ⁣⁣ ที่จำเป็น”

*ระดับขั้นของเรกิ*

  • Reiki 1 วิชาพื้นฐานพลังงาน รับ-ส่ง สัมผัสพลังงานได้ ส่งพลังงานทางไกลได้ การแสกนออร่า การแสกนด้วยจิต
  • Reiki 2 สัมผัสพลังงานหลากหลายรูปแบบ ทำให้แยกแยะแต่ละพลังงานได้ ส่งพลังงานข้ามมิติเวลา การสร้างพื้นที่พลังงานของตัวเอง การส่งพลังเข้าไปจัดการเฉพาะเรื่อง เช่น อารมณ์ จิตใจ ความคิด การกราวดิ้ง เป็นต้น
  • Reiki 3 ยกระดับพลังงานและการเข้าถึงแหล่งพลังงานที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด การพัฒนาเพื่อเชื่อมต่อกับเบื้องบน, Higher self และ การใช้พลังเรกิเพื่อบำบัดในขั้นสูง (Reiki Surgery)
  • Reiki Master พลังงานขั้นสูงของเรกิ เรียนรู้รายละเอียดของแต่ละระดับของพลังงานเช่น Physical, Emotional, Mental, Higher self, Soul, Divine เป็นต้น สามารถสอนและแอดทูนพลังงานให้คนอื่นต่อได้ และสามารถเรียนต่อพลังงานขั้นสูงได้แทบจะทุกวิชา เนื่องจากสามารถใช้พลังงานในขั้นสูงได้แล้ว

เราทุกคนต่างผ่านประสบการณ์ในการสัมพันธ์กับสังคมที่เราอยู่ กับผู้คนรายรอบ กับเรื่องราวในชีวิต ต่างก็มีการเดินทางตามเส้นทางของแต่ละคน แม้การเดินทางส่วนตนจะมีความหลากหลายในรายละเอียด ทว่าจุดร่วมหนึ่งที่มีนั้นก็คือ ความเป็นมนุษย์ ในสังคมเดียวกัน ในนิเวศเดียวกันที่เรียกว่า สังคมไทย-ประเทศไทย-โลก เราล้วนผ่านการรับรู้การเปลี่ยนแปลงของสังคม​และโลกของเรา บ้างอย่างใจจดใจจ่อ บ้างอย่างห่อเหี่ยว บ้างก็ในฐานะผู้มีส่วนขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวใด ๆ หรือในฐานะผู้เฝ้าดูเฝ้าส่งใจ หรือในฐานะผู้ปลีกเร้นไม่ข้องแวะ หรือในช่วงเยียวยาฟื้นฟูบาดแผลต่าง ๆ ก็ตามแต่ แต่เราก็ยังอยู่ในนิเวศเดียวกัน

เราบางคนอาจเคยได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสเรื่องเชิงจิตวิญญาณ พลังงานกันมา​บ้าง​ มากบ้างหรือน้อยบ้างต่างกันไป

ในกิจกรรม Subtle​ Activism​ ที่ผ่านมา หนทางของมิติทางพลังงานก็ค่อย ๆ เปิดเผยออกมาทีละน้อย เมื่อรู้ตัวอีกที โลกของพลังงานก็โอบอุ้มพวกเราไว้แล้ว การกระทำการร่วมกันผ่านบทเรียนต่าง ๆ ในกิจกรรมนั้น เชื้อเชิญให้เรากลับมาทบทวนเส้นทางที่ผ่านมาในฐานะ being นึงในระบบนิเวศอันกว้างใหญ่นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ให้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเราซึ่งมีผลต่อการดำรงอยู่อื่น ๆ ในข่ายใยเดียวกันนี้ และยิ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของสิ่งที่เราอาจจะไม่เคยได้ให้ความสำคัญในระดับนี้เท่าใดนัก 

กล่าวถึงวิธีการของ Subtle​ Activism​ แล้ว สามารถสรุปความให้นึกภาพคร่าว ๆ คือ​ การทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านมิติทางพลังงาน​ ผ่านมิติของการสัมพันธ์กับชีวิตหรือพลังงานอื่น​ ๆ ที่อยู่ร่วมโลกกับเรา​ในฐานะ “พันธมิตรทางจิตวิญญาณ” ทั้งที่สามารถรับรู้ได้ในทางกายภาพ และยังมีอีกมากมายที่สัมผัสรับรู้ถึงการดำรงอยู่ได้เพียงในมิติของพลังงานเท่านั้น ในแง่นี้เอง มนุษย์จึงมีความพิเศษในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ทั้งในโลกทางกายภาพและโลกทางจิตวิญญาณไปพร้อมกัน มนุษย์เราจึงมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับโลก พลังงาน หรือสิ่งมีชีวิตในมิติต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน

รับรู้​สิทธิแห่งพลังงาน🔥

ในช่วงต้นของกิจกรรม​ หลังจากวิทยากรได้นำพาเราให้มาพานพบและทำความรู้จักกัน​ เพื่อนำเรากลับมาสู่​ “บ้านอันแท้จริง”​ ซึ่งเราหลงลืมไป​ บ้านของใจ​ บ้านของพลังงาน​ พื้นที่ของสนามพลังที่ทุกคนต่างเชื่อมโยง​ สัมผัส​ รับรู้ถึงกันได้แม้ไม่ได้เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน

ต่อมา​ วิทยากรให้เราเรียนรู้วิธีการใช้พลังงานธรรมชาติ (ในที่นี้คือเปลวไฟจากเทียน) ทำการ Energy Clearing โดยใช้ฝ่ามือสัมผัสพลังความร้อนจากเปลวเทียน และนำฝ่ามือถูเข้าหากัน สัมผัสร่างกายเพื่อกระจายความอบอุ่นไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อเคลียร์พลังงานให้สดใหม่และเปี่ยมศักยภาพ ในบางจุดที่มีความเกร็งและความปวดเมื่อยยังสามารถนำฝ่ามือไปสัมผัสกับจุดนั้น ๆ เพื่อให้ความหนักแน่นเหล่านั้นจางคลาย​ ชะล้างพลังงานที่อาจไม่ได้มีความจำเป็น​หรือเกื้อกูลต่อการเดินทางนับจากนี้อีกแล้ว​ ละวางความคิด​ การตัดสินหรือการแก้ปัญหาด้วยวิถีทางเดิม​ ๆ ซึ่งสัมพันธ์กับตัวพลังงานเก่า ๆ ที่เกาะกุมเราไว้ ​ให้กลับสู่ที่ทางของมัน​ จนกระทั่งเรากลับมาเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอีกครั้ง

จากนั้น เราได้ลองทำแบบฝึกหัดว่าด้วยการสัมผัสคลื่นพลังงานของเรา โดยมีลำดับการคร่าว​ ๆ​ ดังนี้

  • สร้าง Ball พลังงาน – ตั้งฝ่ามือสองข้างขึ้นแล้วจินตภาพถึงลูกบอลกลม ๆ สัมผัสรับรู้ถึงพลังงานระหว่างฝ่ามือ ลองปฏิสัมพันธ์กับบอลลูกนี้​ (เช่น​ ยืด-หด ระยะห่างระหว่างฝ่ามือ)​ และสังเกตคุณลักษณะที่เกิดขึ้น เช่น ความอุ่น คลื่นความถี่ ฯ
  • Energy Sharing – จับคู่หรือรวมกลุ่มเพื่อส่งต่อบอลพลังงานกับเพื่อน ๆ ลองมีปฏิสัมพันธ์กับบอลเมื่อรวมเป็นลูกเดียวกันกับของเพื่อน ๆ และสังเกตคุณลักษณะ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ด้วยวิธีการเช่นว่า​นี้ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานที่ดำรงอยู่จริง รวมทั้งคุณลักษณะต่าง​ ๆ​ ของพลังงานนั้น เพื่อรับรู้ถึงความจริงแท้ในอีกมิติหนึ่งที่เรามักจะมองข้ามไป​ รับรู้ถึงคลื่นความถี่ต่าง​ ๆ​ ที่มีอยู่ภายในเรามาแต่แรกเริ่ม จากกระบวนการดังกล่าวนี้เอง ทำให้เราได้เห็นภาพของการทำงานด้วยวิถีทางใหม่ คำถามต่อจากนี้คือ เมื่อเราสามารถรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพลังงานนั้น ๆ ได้แล้ว​ เราจะนำพลังงานเหล่านั้นไปใช้ทำสิ่งใด? หรือ เช่นไร? ได้บ้าง ซึ่งคำถามดังกล่าวจะเชื่อมโยงไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Intention หรือ เจตจำนง

เจตจำนง (Intention) คือ การประกาศสิทธิอำนาจนั้น ๆ 

การตั้งเจตจำนง เป็นไปเพื่อกำหนดทิศทาง-เป้าหมายของพลังงานที่เรามี เพื่อจะกระทำการร่วมไปกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง เมื่อเราได้กำหนดเจตจำนงโดยคำนึงถึงหมุดหมายที่ชัดเจนและเป็นจริงไว้ในดวงจิต เท่ากับว่าดวงจิตของเราไว้ประกาศ (manifest) เจตจำนงนั้นกับจักรวาลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันได้เกิดขึ้นจริงแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ในดวงจิตของเรา ดังนั้นเมื่อความเป็นจริงดังกล่าวได้ถูก manifest ออกไป จักรวาลก็จะตอบรับกับเจตจำนงนั้น ๆ เพื่อจัดสมดุลทางนิเวศใหม่ ในวิถีทางเช่นนี้เองที่ subtle energy หรือพลังงานละเอียดได้ทำการเชื่อมต่อสื่อสารกับ subtle energy อื่น ๆ

ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างจากบทเรียนนึงที่ได้เรียนรู้จากวิทยากร ว่าด้วยเรื่องของการสร้างนิมิต (Visualization) 

นิมิต ในที่นี้ไม่ใช่ ความคิด พลังของนิมิตไม่ใช่ความจริงในระดับความคิด ไม่ใช่ความจริงเชิงอารมณ์-ความรู้สึก แต่เป็นความจริงในอีกโลกหนึ่งซึ่งก็คือโลกของสนามพลังงาน​ (ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือเป็นโลกเดียวกันกับที่เราดำรงอยู่นี้ เพียงแต่เราอาจไม่เคยรับรู้ในมิตินี้เท่านั้น)​ แล้วความจริงที่ดำรงอยู่ในมิตินั้นก็จะส่งคลื่นความถี่มายังเราผ่านทางร่างกาย อันจะนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงใด​ ๆ​ ก็ตามหลังจากนี้​ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่าน​ (transformation)​ ปัญหาคือว่า เราควรตั้งเจตจำนงเช่นไรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีต่อนิเวศทางพลังงานโดยรวม สามารถที่จะ​ “เกื้อกูล” ต่อสรรพชีวิตได้​อย่างแท้จริง​ 

ดังนี้เอง​ การเชื่อมต่อกับปัญญาญาณในตัวเรา หรือ Higher Self จึงเป็นปัจจัยสำคัญมาก ๆ เพื่อเจตจำนงของเราจะถูกขัดเกลาให้ละเอียดยิ่งขึ้นผ่านวิธีการที่น่าสนใจต่าง​ ๆ​​ เช่น​ การเขียนออกมาเป็นประโยค, การแลกเปลี่ยนเจตจำนงนั้นกับเพื่อน,​ การถาม-ตอบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเจตจำนงนั้น ๆ จะสามารถเกื้อกูลตัวเราและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้เช่นไร​ ฯ เป็นต้น การหา intention ที่แท้จริงจึงมีความสำคัญมาก เรียกว่าสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เพื่อให้เราชัดแจ้งแก่ใจว่าการที่เราจะใช้สิทธิอำนาจผ่านเจตจำนงใด ๆ นั้น จะเกื้อกูลตัวเราและนิเวศทางพลังงานที่เราอาศัยนี้เช่นไร​ เพื่อให้สอดรับกับปัญญาญาณยิ่ง ๆ ขึ้นไป

กล่าวถึงคุณลักษณะของนิเวศทางพลังงานที่เราดำรงอยู่ อาจเรียกว่า​ “สนามพลังงาน”​ หรือ​ “จักรวาล”​ ก็ตาม​ คุณลักษณะของสิ่งนี้มีความเป็น neutral ซึ่งจะตอบรับกับ intention ที่มีกำลังมากพอ ดังที่เราเห็นได้จากความเป็นไปในโลก สิ่งที่เป็นจริงขึ้นมาได้นั้น มักจะเกิดจากกลุ่มคนที่มีความมุ่งหมายเดียวกันแล้วร่วมกันสร้างมันออกมาให้เป็นจริง​จนสามารถแบ่งปันเจตจำนงนั้น ๆ กับนิเวศโดยรวม สังคม-โลกของเรามีเจตจำนงมากมายที่สถิตย์อยู่ในแต่ละผู้คน​ ในแต่ละกลุ่มชน ซึ่งล้วนมีความมุ่งมาดปรารถนาจะเห็นสังคม-โลกเป็นไปอย่างที่วาดหวังไว้ โลกของเราจึงมีความซับซ้อน​อยู่หลายชั้นมากเสียจนไม่อาจจะหยั่งวัด​ ถึงขั้นที่เรียกว่ายุ่งเหยิงเลยก็ว่าได้หากวัดจากสภาพการณ์ต่าง​ ๆ​ ที่เรารับรู้กันอยู่ในทุกวันนี้​ ทว่าวิทยากรได้ให้ข้อคิดอันเป็นดังคาถาเตือนใจ​ ดังความว่า​ 

“Intention ที่เกื้อกูลต่อสรรพชีวิตที่สุด จะได้รับการตอบรับเสมอ”​

ปกป้อง​ “สิทธิ”​ ของเราด้วยความรักและเคารพ  (LOVE​ &​ RESPECT)

จากขั้นของเจตจำนง​ เมื่อเราต้องทำการแปรเปลี่ยนเจตจำนงออกมาสู่ความจริงเชิงประจักษ์​ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายนานัปการ​ ซึ่งในประเด็นนี้วิทยากรได้นำเราไปพบกับปัจจัยที่มีความสำคัญเหลือเกิน​ที่เราต้องตระหนัก​ เป็นปัจจัย​ 2​ สิ่ง ซึ่งจะคอยค้ำจุนเจตจำนงให้เปี่ยมความเชื่อมั่น​ มั่นคง​ และมีพลัง​ 

สิ่งแรกคือ ความเคารพ​ (Respect)​ เมื่อเรามีความเคารพต่อผู้คน ต่อสรรพสิ่ง เราจะสามารถเดินบนผืนโลกได้อย่างสง่างาม ความเคารพที่เรามีให้กับทุกคน ทุกสิ่ง คือสิ่งที่จะสร้างเกราะคุ้มกันดังยันต์คุ้มภัยได้อย่างดีที่สุด​ อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ​ ความรักที่มีต่อตัวเอง​ (Self Love)​ ซึ่งเป็นกำแพงอันสูงใหญ่มากที่เราจำเป็นต้องฝ่าข้ามไป​ให้ได้ก่อนจะไปสู่กระบวนการอื่น ๆ อย่างเต็มเปี่ยมด้วยพลังภายใน​ เราไม่อาจมีความรักต่อผู้อื่นอย่างแท้จริงได้​ หากไม่สามารถรักตนเองได้เสียก่อน ​เพราะต้นกำเนิดของพลังอำนาจภายในนั้น​​ก็คือความรักที่เรามีให้กับตัวเอง และในบรรดาพลังงานทั้งหลาย ความรักนั้นมีคลื่นละเอียดที่สุด 

ความเคารพ และ ความรักที่มีต่อตนเอง คือสิ่งที่จะเกื้อหนุนเจตจำนงต่อการกระทำการร่วมไปกับโลกแห่งพลังงานให้ลุล่วงไปอย่างมีพลัง

ภาพวาดสนามพลังงาน​ (Magnetic Field)​


มิตรสหายร่วมเจตจำนง

ช่วงท้ายของกิจกรรมวันที่สอง​ ในที่สุดก็มาถึงการอัญเชิญพันธมิตรทางจิตวิญญาณ​มาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในวงมณฑลนี้​ เริ่มด้วยการภาวนาเพื่อเข้าสู่ภาวะความสงบ​ ความมั่นคง​ เชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวเรา​ รำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเชื่อมั่น​ นับถือ​ ศรัทธา​ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด​ก็ตาม ครูบาอาจารย์​ บรรพบุรุษ​ คนที่เราเคารพรัก หรือสิ่งอื่น​ ๆ​ ใด​ ๆ​ ทั้งภายในและภายนอก​ เพื่อเชื้อเชิญพวกเขาเหล่านั้นมาปกป้องร่างกาย​ ดวงจิต​ ชีวิต​ และพลังงานของเรา​ โดยมีการใช้นิมิตหรือจินตภาพเพื่อเสริมการเชื่อมต่อรับรู้​ เช่น​ การตั้งนิมิตถึงแสงสีขาวที่สาดโปรยปรายลงมา ดังฝนสีขาวค่อย​ ๆ​ อาบตัวเรา​ จนร่างกายของเรากลายเป็นแสง กลายเป็นความสว่างนั้น​ ให้พลังงานนั้นปกป้องคุ้มครองเราและปกปักรักษาเจตจำนงให้รอดปลอดภัย​ และสัมผัสรับรู้ถึงพลังงานและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเนื้อในตัวเรา

หลังผ่านบทเรียนและแบบฝึกหัดต่าง​ ๆ​ ในกิจกรรมซึ่งพาเราไปสู่ความเข้าใจในมิติพลังงานมากยิ่งขึ้นตามลำดับ​ จนค่อย​ ๆ​ เกิดความชัดเจนขึ้นเองในใจว่า เมื่อเราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงใด ๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นย่อมไม่ได้เป็นไปโดยตัวเราและเพื่อตัวเราในมิติทางกายภาพที่จับต้องได้เพียงอย่างเดียวอย่างแน่นอน ดังนี้แล้ว perception ดังกล่าวจึงพลิกกลับกลายเป็นว่า การดำรงอยู่ของเรา พลังงานของเรา เจตจำนงของเรา รวมไปถึงการกระทำและปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ที่เรามี ล้วนเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงร่วมกับสิ่งอื่น ๆ ในนิเวศเดียวกันนี้ที่ทุกสิ่งต่างร้อยรัดเชื่อมโยงสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียว และไม่มีสิ่งใดที่จะแยกขาดจากกันไปได้เลย 

เพราะแท้จริงแล้วโลกใบนี้คือโลกอันศักดิ์สิทธิ์

ภาพวาดมณฑลพลังงาน​ (mandala)​


ในการจะสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งสำคัญที่พึงระลึกก็คือ​ ​​เราเองก็ศักดิ์สิทธิ์​เฉกเช่นกัน เราจำต้องเชื่อในอำนาจนั้น​ และรับรู้ถึงอำนาจนั้นที่อยู่ในตัวเราทุกคน เมื่อเป็นได้เช่นนั้นแล้ว จึงจะสามารถทำงานร่วมกับพันธมิตรทางจิตวิญญาณ หากไม่เป็นเช่นนั้น​ ปัญหาของ​ “spiritual​ abuse”​ ก็อาจจะตามมา เปรียบกับการสัมพันธ์ด้วยท่าทีที่รู้สึกว่าตนเองช่างต่ำต้อยด้อยค่า​ ด้วยท่าทีซึ่งเราเป็นฝ่ายไปไหว้วาน​ กราบกราน​ ร้องขออยู่แต่ถ่ายเดียว แต่เราในฐานะ sacred being สามารถกระทำการร่วมไปกับ being อื่น ๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยเจตจำนงที่ดีงาม​ร่วมไปกับพันธมิตรทางจิตวิญญาณเพื่อจัดสมดุลใหม่แก่นิเวศแห่งสนามพลังงานนี้ที่เราดำรงอยู่ร่วมกัน 

ดังนั้น​ เพื่อยืนยัน​ “สิทธิ”​ ที่เราทุกคนมีอย่างถ้วนทั่วสมบูรณ์พร้อมในโลกอันศักดิ์สิทธิ์นี้​ บรรดามิตรสหายทางจิตวิญญาณจึงรอคอยเราอยู่ตรงนั้นเสมอ​ เพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

บทความนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ทุกท่านนะคะ ไปทดลองฝึกดูกันคะ แต่หากท่านใดต้องการฝึกเจอะเชิงลึก ดิฉันมีคอร์สสอนออนไลน์ มีคลิปวีดีโอสอนฝึกจูนพลังจักรวาล สมาธิ DNA สู่มิติที่ 5 ผลวิจัยพบ สมาธิเปลี่ยน DNA สามารถอ่านรายละเอียดเนื้อหาคอร์สด้านล่าง

คอร์ส สร้างครูสอนสมาธิ วิชาพลังจิต สมาธิควอนตัม จูนพลังจักรวาล และฝึกปฏิบัติจริง โปรแกรมจิต 21 วัน [workshop]

สำหรับท่านใดสนใจเป็นครูสอนจิตวิญญาณ สร้างรายได้จากอาชีพที่รัก อ่านรายละเอียดด้านล่างคะ

คอร์สสร้างครูสอนจิตวิญญาณ สอนสมาธิควอนตัม สมาธิจูนพลังจักรวาล พลังจิตขั้นพื้นฐาน การเป็นครูสอนออนไลน์ การทำงานออนไลน์

คอร์สปลดปล่อยจิตวิญญาณ #สู่มิติที่สูง 5D สมาธิเนรมิตชีวิต





คอร์สสมาธิพลังงาน 5D 

คอร์สเรียนสำหรับผู้สนใจพัฒนาพลังงานภายในตัวเอง ติดตามสอบถามได้  

1.เรียนระดับวิชาพื้นฐานพลังงาน ราคาพิเศษ 2,999 บาท  (ปกติ 5,999 บาท)

สัมผัสพลังงานได้ รับ-ส่งพลังงานได้ ส่งพลังงานทางไกลได้ การแสกนออร่า การแสกนด้วยจิตพลังในชีวิตประจำวันเวลาเรียน 2 วันดับที่ 1


2.ระดับที่สองต้องผ่าน 1 มาแล้ว  ราคาพิเศษ 3,999 บาท (ปกติ 9,990 บาท)

สัมผัสพลังงานหลากหลายรูปแบบ แยกแยะแต่ละพลังงานได้ ส่งพลังงานข้ามมิติเวลา

การสร้างพื้นที่พลังงานของตัวเอง การส่งพลังเข้าไปจัดการเฉพาะเรื่อง เช่น อารมณ์ จิตใจ ความคิดเวลาเรียน 2 วัน


3.ระดับที่สามต้องผ่าน 1-2 มาแล้ว ราคาพิเศษ 4,444 บาท (ปกติ  9,990 บาท)

การเข้าถึงแหล่งพลังงานที่สูงขึ้น แบบก้าวกระโดดการพัฒนาเพื่อเชื่อมต่อกับเบื้องบน,

Higher self และการใช้พลังเรกิเพื่อบำบัดในขั้นสูง (Reiki Surgery)เวลาเรียน 2 วัน


4.ระดับที่สี่ ต้องผ่าน 1-3 มาแล้ว ราคาพิเศษ 5,999 บาท (ปกติ 11,111 บาท)

พลังงานขั้นสูงของเรกิ เรียนรู้ความลับของพลังงาน เช่น Physical, Emotional, Mental, Higher self, Soul, Divine สามารถสอนและแอดทูนพลังงานได้ เรียนต่อพลังงานขั้นสูงได้ทุกวิชา เวลาเรียน 4 วัน


สนใจคอร์สสมาธิศาสตร์ ตั้งแต่ระดับที่ 1 ถึง 4  






💯ราคาเริ่มต้นเรียนทั้ง 4 คอร์สที่ 19,990 บาท (ราคาปรับขึ้นตลอด) จากปกติ 37,090 บาท พิเศษสุดผู้สมัคร 10 ท่านแรก สมัครวันนี้ราคา 11,111 บาท เรียน 4 คอร์ส
💥ผู้สนใจสมัครเรียน แจ้งลงทะเบียน ติดต่อผ่านช่องทางดังนี้คะ

👉ช่องทาง @ Line : @767oliro
👉ช่องทาง Inbox เพจ



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คู่มือหมอดูตาทิพเงินล้าน พลังตัวเลขพญานาคราช 999 #ดูดวงชะตา

คัมภีร์เปลี่ยนชีวิต สะกดจิต ผลิตเงินล้าน รวมสูตรลับความสำเร็จ กฎแรงดึงดูด [Law of Attraction] พิสูจน์สิ่งมหัศจรรย์ด้วยตัวคุณเอง #ภาพยนตร์สารคดีวิทยาศาสตร์ " I Am : Tom Shadyac "

ความลับจินตนาการ ดึงดูดสร้างความสำเร็จ !! โดย Neville Goddard [เนวิลล์ ก็อดดาร์ด] บุคคลสำคัญแห่งโลก